คำถามที่พบบ่อย
คำถามทั่วไป
ลูกค้าสามารถเลือกรับประทานแค่สูตรใดสูตรหนึ่งเพียงอย่างเดียวหรือจะเลือกรับประทานทั้งสองสูตรก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการในการดูแลสุขภาพของลูกค้าแต่ละท่าน เนื่องจากแต่ละสูตรได้รับการออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาสูตรอื่น ด้วยการมอบประโยชน์หลากหลายที่เหมาะสมกับในแต่ละช่วงเวลาของวัน ดังนี้:
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางวัน (Day Formula Supplements) เหมาะสำหรับบริโภคในช่วงเช้า หรือช่วงเที่ยง เนื่องจากประโยชน์ในการให้พลังงาน ความสดชื่น และความกระฉับกระเฉง ช่วยให้ท่านเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลังจากส่วนผสมที่ได้รับการวิจัยมาอย่างดีกว่า 50 ชนิดด้วยกัน สูตรนี้ช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและสมอง เสริมภูมิคุ้มกัน ขจัดสารพิษในร่างกาย และบำรุงดวงตาและผิวพรรณให้คมชัดเปล่งปลั่ง รวมถึงการปรับสมดุลของระบบเผาพลาญพลังงานในร่างกาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเสริมสร้างสุขภาพในช่วงเช้าหรือเพื่อเพิ่มพลังงานในช่วงกลางวัน
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางคืน (Night Formula Supplements) เหมาะสำหรับการบริโภคในช่วงก่อนเข้านอน เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูและซ่อมแซมของร่างกายในขณะที่ท่านนอนหลับ ด้วยส่วนผสมที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน สูตรนี้ช่วยส่งเสริมการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ ฟื้นฟูร่างกาย เสริมสุขภาพลำไส้และระบบการย่อยอาหาร ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสแข็งแรง เพื่อช่วยให้ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มและสดชื่น
แม้ว่าสูตรแต่ละตัวจะมอบประโยชน์ที่น่าทึ่งได้อย่างแตกต่างและครอบคลุมในแต่ละช่วงเวลาของวันแล้ว แต่การรับประทานทั้งสองสูตรร่วมกันนั้นจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพซึ่งกันและกันเพื่อมอบประสบการณ์ที่ครบครันได้อย่างดีเยี่ยม โดยที่สูตรกลางวัน จะช่วยเติมพลังงานเพื่อให้ท่านทำงานได้อย่างเต็มที่ในระหว่างวัน ในขณะที่สูตรกลางคืน จะช่วยฟื้นฟูและบำรุงร่างกายในระหว่างการนอนหลับ เพื่อช่วยสร้างสมดุลของสุขภาพที่ครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะเลือกรับประทานสูตรใดสูตรหนึ่งหรือทั้งสองสูตร ท่านก็สามารถเพลิดเพลินไปกับประโยชน์ด้านสุขภาพ ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของท่านได้อย่างลงตัว
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางวัน
Vitamin B-Complex ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันของเราได้รับการวิเคราะห์และคัดสรรมาอย่างระมัดระวังเพื่อมอบประโยชน์ในการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมให้กับท่าน โดยการเลือกใช้ Essential B Vitamin ที่จำเป็นทั้ง 8 ชนิด ได้แก่ B1, B2, B3, B5, B6, B7, B9 และ B12 ซึ่งแต่ละชนิดมีบทบาทเฉพาะตัวในร่างกายของเรา และเพื่อให้มั่นใจว่าท่านจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยร่างกายและจิตใจที่พร้อมเต็มที่ Vitamin B-Complex เหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างผลลัพธ์ด้วยการเสริมฤทธิ์แก่กันในร่างกายภายใต้กระบวนการทางชีวเคมีต่างๆมากมาย เช่น การผลิตพลังงาน การสร้างเม็ดเลือดแดง การทำงานของสมอง และ อื่นๆเป็นต้น
ปัจจุบัน Vitamin B-Complex ถือเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด สะดวกสบาย และ คุ้มค่า เพื่อให้ท่านได้รับวิตามินบีที่จำเป็นทั้ง 8 ชนิดในการบริโภคแต่ละครั้ง นอกจากนี้ วิตามินบีแต่ละชนิดยังมีโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและให้ประโยชน์เฉพาะอย่างต่อร่างกายของเราแตกต่างกันออกไป โดยมีรายละเอียดดังนี้:
Thiamine Hydrochloride หรือ ที่รู้จักกันดีในชื่อ วิตามิน บี1 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน วิตามินนี้ไม่สามารถสะสมในร่างกายได้จึงต้องรับจากอาหารหรืออาหารเสริมอย่างสม่ำเสมอ วิตามิน บี1 ทำงานโดยการช่วยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการทำงานของเซลล์อีกด้วย ประโยชน์ของ วิตามิน บี1 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน บี1 มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ โดยมีสารสำคัญอย่างไทอามีนไพรอฟอสเฟต (Thiamine Pyrophosphate) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอต่อการทำงานในชีวิตประจำวัน 2) วิตามิน บี1 มีส่วนสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทที่มีประสิทธิภาพ Thiamine Hydrochloride ช่วยในการผลิตสารสื่อประสาทอย่างอะซิติลโคลีน (Acetylcholine) ที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม 3) Thiamine Hydrochloride ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารไทอามีนในวิตามินนี้ช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนของเลือด ทำให้ระบบหลอดเลือดแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 4) วิตามิน บี1 มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยในการสร้างกรดเกลือในกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของอาการท้องอืดและอาการท้องผูก 5) Thiamine Hydrochloride มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ โดยสารไทอามีนมีบทบาทในการผลิต RNA และ DNA ซึ่งสำคัญต่อกระบวนการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายฟื้นฟูและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Riboflavin หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี2 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และเป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายหลายประการ ช่วยในการสร้างพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน อีกทั้งยังมีหน้าที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่างๆ ของร่างกาย Riboflavin เป็นสารอาหารที่ไม่สามารถสร้างขึ้นเองในร่างกายได้ ต้องได้รับจากอาหาร เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช และ นม ประโยชน์ของ Riboflavin ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Riboflavin เป็นส่วนสำคัญในปฏิกิริยาชีวเคมีของการเปลี่ยนแปลงคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน ให้เป็นพลังงานที่สามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งสารฟลาวินโมโนนิวคลีโอไทด์ (Flavin mononucleotide) หรือ (FMN) และ สาร ฟลาวินอะดีนีนไดนิวคลีโอไทด์ (Flavin Adenine Dinucleotide) หรือ (FAD) ที่เป็นสารประกอบสำคัญใน Riboflavin จะช่วยในกระบวนการนี้ ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานในชีวิตประจำวัน 2) Riboflavin ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยมีสาร FAD ที่ช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งช่วยในการป้องกันการติดเชื้อและสร้างความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 3) Riboflavin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงจากการทำลายเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ สาร FMN และ FAD ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยในกระบวนการป้องกันความเครียดออกซิเดชัน ลดโอกาสในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ 4) Riboflavin มีบทบาทในการรักษาสุขภาพของผิวหนังและเส้นผม ช่วยให้ผิวดูสดใส สุขภาพดี และ ลดการเกิดสิว สารประกอบ FAD ยังช่วยในกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย จึงช่วยให้เส้นผมและเล็บแข็งแรง 5) Riboflavin ยังช่วยในการป้องกันต้อกระจกและความเสื่อมของจอตา โดยสาร FMN ช่วยในการรักษาสุขภาพของเยื่อบุตาและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเลนส์ตา ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาทางสายตา
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Niacinamide หรือ ที่เรียกว่า วิตามิน บี3 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของผิวและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย Niacinamide มีท่านสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลน้ำมันในผิวและลดการอักเสบ ทำให้ Niacinamide เป็นส่วนประกอบที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลาย ประโยชน์ของ Niacinamide ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Niacinamide มีท่านสมบัติช่วยลดการอักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนังได้ เช่น สิว รอยแดง และ ผิวแพ้ง่าย นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลน้ำมันบนผิว ลดความมันและช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี 2) Niacinamide ช่วยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและแข็งแรง ป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น 3) ด้วยท่านสมบัติในการยับยั้งการผลิตเมลานิน (สารสีในผิวหนัง) Niacinamide จึงอาจช่วยลดรอยด่างดำและรอยสิวให้จางลงได้ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและมีสีสม่ำเสมอ 4) Niacinamide เป็นสารสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานในเซลล์ โดยเฉพาะในกระบวนการ Nicotinamide Adenine Dinucleotide (NAD+) ที่ช่วยกระตุ้นการผลิต ATP ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ กระบวนการนี้สำคัญในการเสริมสร้างพลังงานให้กับเซลล์สมองและเซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยให้การทำงานของเซลล์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเหนื่อยล้าและเสริมความกระฉับกระเฉง 5) Niacinamide ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของผิว ทำให้ผิวสามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกภายนอกได้ดียิ่งขึ้นส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือการอักเสบ 6) การทำงานของ Niacinamide ในการเพิ่มระดับ NAD+ ในร่างกายช่วยลดการเสื่อมของเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคสมองเสื่อม (Neurodegenerative Diseases) อย่างเช่น โรคอัลไซเมอร์ การเสริม Niacinamide จึงช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์สมองและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของสมอง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
D-Pantothenate, Calcium (90%) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี5 ในรูปของแคลเซียมแพนโทธีเนต เป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน บี5 ที่ละลายในน้ำ วิตามิน บี5 มีบทบาทสำคัญในการสร้างพลังงานในร่างกาย โดยการช่วยในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรตและการผลิตโคเอนไซม์ A (Coenzyme A) ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการเมแทบอลิซึม นอกจากนี้ D-Pantothenate ยังมีประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพผิวและระบบประสาทอีกด้วย ประโยชน์อื่นๆของ D-Pantothenate, Calcium (90%) ต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน บี5 มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเมแทบอลิซึม โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Coenzyme A ซึ่งมีหน้าที่ช่วยในการสลายไขมันและคาร์โบไฮเดรตเพื่อสร้างพลังงานให้กับร่างกาย การได้รับ D-Pantothenate อย่างเพียงพอจึงช่วยให้ร่างกายมีพลังงานที่เพียงพอและช่วยลดอาการเหนื่อยล้า 2) วิตามิน บี5 เป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นและช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังที่เสียหาย D-Pantothenate ช่วยลดการระคายเคืองและป้องกันการเกิดสิว รวมถึงช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและลดริ้วรอยก่อนวัย 3) D-Pantothenate มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบประสาท โดยช่วยสร้างสารสื่อประสาทและรักษาสมดุลของระบบประสาท การมีระดับวิตามิน บี5 เพียงพอจึงช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและช่วยในการจัดการความเครียดได้ 4) วิตามิน บี5 เป็นส่วนสำคัญในการผลิตฮอร์โมนที่สร้างโดยต่อมหมวกไต เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการตอบสนองต่อความเครียด การได้รับ D-Pantothenate ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดได้ดีขึ้นและช่วยลดผลกระทบจากความเครียด 5) D-Pantothenate มีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ การได้รับวิตามิน บี5เพียงพอจึงช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Pyridoxine Hydrochloride หรือ ที่รู้จักกันดีในชื่อ วิตามิน บี6 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีบทบาทสำคัญต่อระบบต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและระบบประสาท อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในกระบวนการสร้างพลังงานและเมตาบอลิซึม วิตามิน บี6 ไม่สามารถสร้างขึ้นเองในร่างกายได้ จึงต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริม ประโยชน์ของ วิตามิน บี6 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Pyridoxine Hydrochloride มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน ให้เป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ สารประกอบนี้ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการเผาผลาญ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่เพียงพอสำหรับการทำงานต่างๆ 2) Pyridoxine Hydrochloride เป็นตัวช่วยในการสังเคราะห์สารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ วิตามิน บี6 ยังอาจช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าและอาการเครียด โดยช่วยในการควบคุมระดับของสารเคมีในสมอง 3) วิตามิน บี6 มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับเชื้อโรค นอกจากนี้ยังอาจช่วยในการสร้างแอนติบอดี้ ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อและโรคภัย 4) Pyridoxine Hydrochloride เป็นสารสำคัญที่ใช้ในการผลิตฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและลดโอกาสเกิดภาวะโลหิตจาง 5) Pyridoxine Hydrochloride ช่วยลดระดับโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น วิตามิน บี6 จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพหัวใจและส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดที่ดี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
D-Biotin หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี7 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการเมแทบอลิซึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และ คาร์โบไฮเดรต D-Biotin มีความสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพของผิว ผม และ เล็บ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสร้างพลังงานในเซลล์ ทำให้เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายระบบ ประโยชน์ของ D-Biotin ที่มีต่อร่างกายคือ 1) D-Biotin เป็นส่วนสำคัญในการผลิตเคราติน Keratin ซึ่งเป็นโปรตีนหลักของเส้นผม เล็บ และ ผิวหนัง การได้รับ D-Biotin อย่างเพียงพอสามารถช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมและทำให้ผมแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหนังและเล็บมีสุขภาพดีและแข็งแรงอีกด้วย 2) D-Biotin มีส่วนสำคัญในกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกาย โดยช่วยในการสลายไขมัน โปรตีน และ คาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงานที่เซลล์สามารถใช้ได้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างพลังงานในร่างกายและลดความเหนื่อยล้า 3) D-Biotin มีความสำคัญในการสนับสนุนระบบประสาท เนื่องจากมีส่วนในการสร้างสารสื่อประสาทที่ช่วยในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท ดังนั้นการมี D-Biotin เพียงพอจะช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดีและยังช่วยบำรุงสมองอีกด้วย 4) D-Biotin เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการเผาผลาญกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของสมอง กลูโคสช่วยให้สมองมีพลังงานเพียงพอในการผลิตสารสื่อประสาทเช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งมีความสำคัญต่อการควบคุมอารมณ์ ความจำ และการเรียนรู้ 5) ไมอีลิน (Myelin) คือ สารหุ้มปลายเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่เหมือนฉนวน ช่วยให้การส่งสัญญาณในระบบประสาททำได้อย่างรวดเร็ว D-Biotin มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างไมอีลิน ทำให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทรวดเร็วขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบประสาทโดยรวม 6) D-Biotin ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์ โดยช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์และการผลิตแอนติบอดี ซึ่งช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น 7) การได้รับ D-Biotin ในระดับที่เพียงพอช่วยให้ระดับไขมันในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดระดับของไขมันไม่ดี (LDL) และ ช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดดีและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Folic Acid หรือ ที่รู้จักกันว่า วิตามิน บี9 เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงการตั้งครรภ์และการพัฒนาเซลล์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้าง DNA และ RNA ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมสำคัญที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ต่างๆ Folic Acid จึงเป็นสารอาหารสำคัญที่ควรได้รับเพียงพอเพื่อสนับสนุนการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ประโยชน์ของ Folic Acid ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาในช่วงตั้งครรภ์ - Folic Acid มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาเซลล์ โดยเฉพาะในระยะตั้งครรภ์ สารโฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของระบบประสาทในทารก เช่น การเกิดภาวะหลอดประสาทปิดไม่สมบูรณ์ (Neural Tube Defect) ซึ่งเป็นเหตุผลที่ท่านแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ Folic Acid อย่างเพียงพอ 2) Folic Acid เป็นส่วนสำคัญในการผลิตเม็ดเลือดแดง โดยช่วยในกระบวนการผลิต DNA ที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ สารประกอบโฟเลตใน Folic Acid ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง ทำให้ร่างกายมีพลังงานและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) Folic Acid มีบทบาทสำคัญในการสร้างและซ่อมแซม DNA ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท โดยการรับประทาน Folic Acid ที่เพียงพอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและภาวะจิตเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมของระบบประสาทในผู้สูงอายุ 4) Folic Acid ช่วยลดระดับของโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยโฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ทำหน้าที่ลดระดับสารนี้ ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจ 5) Folic Acid มีบทบาทในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยช่วยในการผลิตเม็ดเลือดขาวที่มีความสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค โฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ช่วยทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันเชื้อโรคได้ดีขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี12 เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานหลายส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะการเสริมสร้างเซลล์ประสาท การสร้างเม็ดเลือดแดง และการสังเคราะห์ DNA วิตามิน บี12 (0.1%) เป็นรูปแบบของวิตามิน บี12 ที่มีความเข้มข้นต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับการเสริมในปริมาณที่ต้องการอย่างพอดี ประโยชน์ของ Vitamin บี12 ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง - วิตามิน บี12 เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย โดยสารไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) จะช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามิน บี12 ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าได้ 2) วิตามิน บี12 เป็นสารสำคัญที่ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ไมอีลิน (Myelin) ซึ่งเป็นชั้นป้องกันของเส้นประสาท สารประกอบในวิตามิน บี12 ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทเป็นไปอย่างราบรื่น ป้องกันภาวะระบบประสาทเสื่อมและช่วยให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 3) วิตามิน บี12 มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์ DNA ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์อย่างเป็นปกติ สาร Cyanocobalamin ใน Vitamin B12 ทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆในร่างกาย 4) วิตามิน บี12 ช่วยในการเปลี่ยนสารอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต ให้เป็นพลังงานที่ร่างกายนำไปใช้ได้ สารไซยาโนโคบาลามินมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงาน ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังในชีวิตประจำวัน 5) วิตามิน บี12 มีส่วนช่วยในการลดระดับโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ สารไซยาโนโคบาลามินมีบทบาทในการควบคุมระดับนี้และช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
สตรอว์เบอร์รีไม่เพียงแค่เป็นผลไม้ที่อร่อย แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารและสารประกอบทางชีวภาพที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย หนึ่งในสารสำคัญที่พบได้มากสุดในสตรอว์เบอร์รีคือสาร Fisetin ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ธรรมชาติที่มีท่านสมบัติในการต้านความชรา การใช้ผงสตรอว์เบอร์รีแท้ เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันนั้นไม่เพียงแต่ให้รสชาติที่ดีเยี่ยมแต่ยังส่งมอบท่านประโยชน์ที่ช่วยจัดการกับหนึ่งในความท้าทายสำคัญของความชรา: การกำจัด "เซลล์ซอมบี้" ออกจากร่างกาย หรือที่เรียกว่า "Senescent Cells"
เซลล์ซอมบี้ (Senescent Cells) คืออะไร?
เซลล์ซอมบี้คือเซลล์ที่เสื่อมสภาพหรือเสียหายซึ่งหยุดการแบ่งตัวแล้วแต่ไม่ได้ถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกระบวนการปกติ แม้จะดูเหมือนไม่มีอันตรายใดๆแต่เซลล์ซอมบี้เหล่านี้จะปล่อยสัญญาณการอักเสบและสารที่เป็นอันตรายออกมาซึ่งสามารถทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อที่แข็งแรงที่อยู่โดยรอบพวกมัน และเมื่อเซลล์ซอมบี้ถูกสะสมในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ อาจส่งผลต่อกระบวนการชราและโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ การอักเสบเรื้อรัง และ การเสื่อมของเนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ และ ผิวหนังได้ ดังนั้น การกำจัดหรือการลดจำนวนเซลล์ซอมบี้ในร่างกายของเราจึงอาจช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวม ชะลอความแก่ และ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายได้
Fisetin ในสตรอว์เบอร์รีช่วยได้อย่างไร?
Fisetin เป็นหนึ่งในสารธรรมชาติที่พบมากสุดในสตรอว์เบอร์รี ซึ่งมีท่านสมบัติในการกำจัดเซลล์ซอมบี้ หรือ Senolytic Properties ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยมีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า Fisetin สามารถ: 1) ช่วยกำจัดเซลล์ซอมบี้ออกจากร่างกาย 2) ช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากเซลล์ซอมบี้ 3) ช่วยปรับปรุงสุขภาพและการทำงานของเซลล์ ส่งเสริมกระบวนการชราอย่างมีสุขภาพดี
ดังนั้น การผสมผงสตรอว์เบอร์รีแท้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกกลางวันของเราจึงไม่เพียงแต่ช่วยให้รสชาติที่เป็นธรรมชาติและหอมอร่อยน่าดื่มแล้ว ยังช่วยส่งมอบ Fisetin จากแหล่งอาหารธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดเข้าสู่ร่างกายทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนี้ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
โดยสรุปคือ การเลือกใช้ผงสตรอว์เบอร์รีแท้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันนั้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของรสชาติ แต่ยังเป็นทางเลือกที่ได้รับการสนับสนุนจากวิทยาศาสตร์เพื่อนำเสนอพลังแห่งการต่อต้านความชราผ่าน Fisetin ซึ่งช่วยกำจัดเซลล์ซอมบี้ ออกจากร่างกาย ช่วยลดการอักเสบ และ ช่วยส่งเสริมการทำงานของเซลล์ที่ดียิ่งขึ้น และด้วยส่วนผสมจากธรรมชาตินี้เอง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันของเราสามารถมอบทั้งรสชาติที่อร่อยและการสนับสนุนสุขภาพในระดับที่ล้ำหน้าอีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Library of Medicine - Study on Fisetin and Senescent Cells >> www.ncbi.nlm.nih.gov
2. ScienceDirect - Overview of Senescence and Fisetin Benefits >> www.sciencedirect.com
3. American Journal of Clinical Nutrition - Fisetin in Strawberries >> www.academic.oup.com
มีส่วนผสมหลายตัวในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันของเราที่อาจช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบความจำและสุขภาพสมอง โดยมีส่วนผสมที่สำคัญมีดังนี้:
Korean Ginseng Extract หรือ สารสกัดจากโสมเกาหลี ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางและยาวนาน และ เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เพราะในโสมเกาหลีมีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายและระบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประกอบในกลุ่ม จินเซโนไซด์ (Ginsenosides) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์หลักของโสมเกาหลีที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลายประการ เช่น 1) อาจช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาทในด้านการรับรู้ ความจำ และ การโฟกัส นอกจากนี้อาจยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์และความเสื่อมของระบบประสาทอีกด้วย 2) อาจมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันช่วยทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคและป้องกันการอักเสบได้ดียิ่งขึ้น 3) จินเซโนไซด์ อาจมีส่วนช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและการแก่ก่อนวัย 4) จินเซโนไซด์ในโสม ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต จึงอาจมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. Healthline >> https://www.healthline.com
L-Tyrosine เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นในการสร้างโปรตีนและเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญสำหรับการสังเคราะห์สารเคมีในร่างกายหลายชนิด เช่น โดปามีน (Dopamine), นอราดรีนาลีน (Norepinephrine) และ อะดรีนาลีน (Adrenaline) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง. ประโยชน์ต่างๆของ L-Tyrosine ที่มีต่อร่างกาย คือ: 1) อาจมีส่วนช่วยในการเพิ่มสมาธิและการตอบสนองต่อความเครียดเพราะ L-Tyrosine ช่วยสนับสนุนการผลิตโดปามีนและนอราดรีนาลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์ สมาธิ และ การรับมือกับสถานการณ์ที่มีความเครียด 2) อาจช่วยส่งเสริมการทำงานของต่อมไทรอยด์เพราะ L-Tyrosine มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์ฮอร์โมนไทรอยด์ เช่น ไทรอกซีน (T4) และ ไตรไอโอโดไทโรนีน (T3) ซึ่งช่วยควบคุมการเผาผลาญและสมดุลพลังงานในร่างกาย 3) อาจมีส่วนช่วนในการปรับปรุงการทำงานของสมอง เพราะในภาวะที่ร่างกายต้องเผชิญกับความเครียดหรือภาวะอ่อนเพลีย L-Tyrosine สามารถช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมองและเพิ่มความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 4) อาจมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจาก L-Tyrosine เป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาทที่ช่วยให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่อความเครียดได้ดีขึ้น มันจึงช่วยในการป้องกันภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดจากความเครียด 5) การบริโภค L-Tyrosine อาจช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวจากภาวะอ่อนเพลียและความเครียดได้รวดเร็วขึ้นโดยการส่งเสริมการผลิตสารสื่อประสาทที่สำคัญต่อการรักษาสมดุลพลังงานในร่างกาย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/tyrosine-benefits
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-1030/tyrosine
L-Phenylalanine เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง แต่จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร หรือ อาหารเสริม L-Phenylalanine เป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารเคมีสำคัญหลายชนิด เช่น โดปามีน (Dopamine), นอราดรีนาลีน (Norepinephrine), และ เอพิเนฟรีน (Epinephrine) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและการควบคุมอารมณ์. ประโยชน์ของ L-Phenylalanine ที่มีต่อร่างกาย คือ 1) อาจช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและอารมณ์ เนื่องจาก L-Phenylalanine ช่วยในการผลิตโดปามีนซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกสุขสมและอารมณ์ที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการซึมเศร้า 2) อาจช่วยในการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ เนื่องจาก L-Phenylalanine เป็นสารตั้งต้นสำคัญในการผลิตไทรอกซีน (T4) ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการเผาผลาญและการเติบโตของร่างกาย 3) อาจช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้และความจำ เนื่องจาก กรดอะมิโนตัวนี้ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาท เช่น นอราดรีนาลีน ที่ส่งผลดีต่อสมรรถภาพในการเรียนรู้ การจดจำ และการมีสมาธิ 4) อาจมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดเรื้อรัง โดยมีผลการศึกษาบางชิ้นที่ชี้ว่า L-Phenylalanine อาจช่วยลดอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ เช่น โรคไขข้ออักเสบ หรือ อาการปวดเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท 5) ในฐานะที่เป็นกรดอะมิโนจำเป็น L-Phenylalanine อาจมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/phenylalanine
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-653/phenylalanine
Brahmi Extract คือ สารสกัดจากต้น บราห์มี หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ พรมมิ (Bacopa Monnieri) พรมมิเป็นสมุนไพรที่ใช้ในระบบอายุรเวทของอินเดียมายาวนานโดยเฉพาะในการบำรุงสมองและระบบประสาท พรมมิอุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่น แบคโคไซด์ (Bacosides) และ สารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพของสมองและระบบประสาท รวมถึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม ประโยชน์ของพรมมิที่มีต่อร่างกายคือ 1) แบคโคไซด์ (Bacosides) ในพรมมิมีท่านสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำและการเรียนรู้ โดยช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมองและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง 2) แบคโคไซด์ (Bacosides) ยังอาจมีส่วนช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ การนอนหลับ และความผ่อนคลาย โดยการเพิ่มระดับของสารสื่อประสาทเหล่านี้สามารถช่วยทำให้จิตใจสงบ ลดความกังวล และเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายได้ 3) แบคโคไซด์ (Bacosides) ในพรมมิยังอาจช่วยลดระดับคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดที่หลั่งออกมาเมื่อร่างกายเผชิญกับสถานการณ์เครียด การลดระดับคอร์ติซอลอาจช่วยให้ร่างกายมีความผ่อนคลายและช่วยลดอาการวิตกกังวลได้ 4) แบคโคไซด์ (Bacosides) ในพรมมิยังอาจช่วยในการฟื้นฟูเซลล์ประสาทและเส้นใยประสาท ซึ่งช่วยบำรุงระบบประสาทและช่วยป้องกันความเสื่อมของระบบประสาทเมื่อมีอายุมากขึ้น 5) สารสำคัญในพรมมิอาจช่วยเพิ่มความสามารถในการตื่นตัวและสมาธิ ทำให้สามารถโฟกัสกับงานหรือการเรียนรู้ได้ดีขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Pennywort Extract หรือ สารสกัดจากใบบัวบก เป็นสมุนไพรที่ใช้มานานในแถบเอเชียโดยเฉพาะในระบบการแพทย์แผนไทยและอายุรเวท สมุนไพรนี้เป็นที่รู้จักในด้านท่านสมบัติเพื่อการบำรุงผิวและฟื้นฟูการทำงานของสมอง โดยอุดมไปด้วยสารสำคัญ เช่น แมเดคาสโซไซด์ (Madecassoside) และ เอเชียติโคไซด์ (Asiaticoside) ซึ่งมีประโยชน์ในการต้านการอักเสบ ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน และบำรุงสุขภาพสมอง ประโยชน์ของสารสกัดใบบัวบกที่มีต่อร่างกายคือ 1) สารแมเดคาสโซไซด์ (Madecassoside) และ เอเชียติโคไซด์ (Asiaticoside) ในบัวบกนั้นอาจสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูบาดแผล อีกทั้งยังช่วยลดรอยแผลเป็นได้ดี 2) ใบบัวบกมีท่านสมบัติต้านการอักเสบที่ช่วยบรรเทาอาการบวมและปวดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอาการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ 3) สารสำคัญในบัวบก เช่น เอเชียติโคไซด์ (Asiaticoside) อาจช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารเพียงพอ ช่วยเสริมสร้างความจำและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ 4) ใบบัวบกมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการทำลายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังและชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ 5) สารสำคัญในใบบัวบกอาจช่วยลดระดับความเครียดและปรับสมดุลของระบบประสาท ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอาการวิตกกังวลได้ดี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Thiamine Hydrochloride หรือ ที่รู้จักกันดีในชื่อ วิตามิน บี1 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน วิตามินนี้ไม่สามารถสะสมในร่างกายได้จึงต้องรับจากอาหารหรืออาหารเสริมอย่างสม่ำเสมอ วิตามิน บี1 ทำงานโดยการช่วยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการทำงานของเซลล์อีกด้วย ประโยชน์ของ วิตามิน บี1 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน บี1 มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ โดยมีสารสำคัญอย่างไทอามีนไพรอฟอสเฟต (Thiamine Pyrophosphate) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอต่อการทำงานในชีวิตประจำวัน 2) วิตามิน บี1 มีส่วนสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทที่มีประสิทธิภาพ Thiamine Hydrochloride ช่วยในการผลิตสารสื่อประสาทอย่างอะซิติลโคลีน (Acetylcholine) ที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม 3) Thiamine Hydrochloride ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารไทอามีนในวิตามินนี้ช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนของเลือด ทำให้ระบบหลอดเลือดแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 4) วิตามิน บี1 มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยในการสร้างกรดเกลือในกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของอาการท้องอืดและอาการท้องผูก 5) Thiamine Hydrochloride มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ โดยสารไทอามีนมีบทบาทในการผลิต RNA และ DNA ซึ่งสำคัญต่อกระบวนการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายฟื้นฟูและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Niacinamide หรือ ที่เรียกว่า วิตามิน บี3 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของผิวและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย Niacinamide มีท่านสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลน้ำมันในผิวและลดการอักเสบ ทำให้ Niacinamide เป็นส่วนประกอบที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลาย ประโยชน์ของ Niacinamide ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Niacinamide มีท่านสมบัติช่วยลดการอักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนังได้ เช่น สิว รอยแดง และ ผิวแพ้ง่าย นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลน้ำมันบนผิว ลดความมันและช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี 2) Niacinamide ช่วยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและแข็งแรง ป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น 3) ด้วยท่านสมบัติในการยับยั้งการผลิตเมลานิน (สารสีในผิวหนัง) Niacinamide จึงอาจช่วยลดรอยด่างดำและรอยสิวให้จางลงได้ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและมีสีสม่ำเสมอ 4) Niacinamide เป็นสารสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานในเซลล์ โดยเฉพาะในกระบวนการ Nicotinamide Adenine Dinucleotide (NAD+) ที่ช่วยกระตุ้นการผลิต ATP ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ กระบวนการนี้สำคัญในการเสริมสร้างพลังงานให้กับเซลล์สมองและเซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยให้การทำงานของเซลล์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเหนื่อยล้าและเสริมความกระฉับกระเฉง 5) Niacinamide ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของผิว ทำให้ผิวสามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกภายนอกได้ดียิ่งขึ้นส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือการอักเสบ 6) การทำงานของ Niacinamide ในการเพิ่มระดับ NAD+ ในร่างกายช่วยลดการเสื่อมของเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคสมองเสื่อม (Neurodegenerative Diseases) อย่างเช่น โรคอัลไซเมอร์ การเสริม Niacinamide จึงช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์สมองและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของสมอง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Folic Acid หรือ ที่รู้จักกันว่า วิตามิน บี9 เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงการตั้งครรภ์และการพัฒนาเซลล์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้าง DNA และ RNA ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมสำคัญที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ต่างๆ Folic Acid จึงเป็นสารอาหารสำคัญที่ควรได้รับเพียงพอเพื่อสนับสนุนการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ประโยชน์ของ Folic Acid ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาในช่วงตั้งครรภ์ - Folic Acid มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาเซลล์ โดยเฉพาะในระยะตั้งครรภ์ สารโฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของระบบประสาทในทารก เช่น การเกิดภาวะหลอดประสาทปิดไม่สมบูรณ์ (Neural Tube Defect) ซึ่งเป็นเหตุผลที่ท่านแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ Folic Acid อย่างเพียงพอ 2) Folic Acid เป็นส่วนสำคัญในการผลิตเม็ดเลือดแดง โดยช่วยในกระบวนการผลิต DNA ที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ สารประกอบโฟเลตใน Folic Acid ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง ทำให้ร่างกายมีพลังงานและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) Folic Acid มีบทบาทสำคัญในการสร้างและซ่อมแซม DNA ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท โดยการรับประทาน Folic Acid ที่เพียงพอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและภาวะจิตเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมของระบบประสาทในผู้สูงอายุ 4) Folic Acid ช่วยลดระดับของโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยโฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ทำหน้าที่ลดระดับสารนี้ ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจ 5) Folic Acid มีบทบาทในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยช่วยในการผลิตเม็ดเลือดขาวที่มีความสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค โฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ช่วยทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันเชื้อโรคได้ดีขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี12 เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานหลายส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะการเสริมสร้างเซลล์ประสาท การสร้างเม็ดเลือดแดง และการสังเคราะห์ DNA วิตามิน บี12 (0.1%) เป็นรูปแบบของวิตามิน บี12 ที่มีความเข้มข้นต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับการเสริมในปริมาณที่ต้องการอย่างพอดี ประโยชน์ของ Vitamin บี12 ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง - วิตามิน บี12 เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย โดยสารไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) จะช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามิน บี12 ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าได้ 2) วิตามิน บี12 เป็นสารสำคัญที่ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ไมอีลิน (Myelin) ซึ่งเป็นชั้นป้องกันของเส้นประสาท สารประกอบในวิตามิน บี12 ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทเป็นไปอย่างราบรื่น ป้องกันภาวะระบบประสาทเสื่อมและช่วยให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 3) วิตามิน บี12 มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์ DNA ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์อย่างเป็นปกติ สาร Cyanocobalamin ใน Vitamin B12 ทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆในร่างกาย 4) วิตามิน บี12 ช่วยในการเปลี่ยนสารอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต ให้เป็นพลังงานที่ร่างกายนำไปใช้ได้ สารไซยาโนโคบาลามินมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงาน ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังในชีวิตประจำวัน 5) วิตามิน บี12 มีส่วนช่วยในการลดระดับโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ สารไซยาโนโคบาลามินมีบทบาทในการควบคุมระดับนี้และช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
ตัวอย่างสารสำคัญที่อาจมีผลในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวและการชะลอวัยมีดังนี้
คอลลาเจน ไดเปปไทด์ จากปลา เป็นคอลลาเจนชนิดที่สกัดจากปลา โดย คอลลาเจนไดเปปไทด์ เป็นคอลลาเจนชนิดที่มีขนาดโมเลกุลเล็กมาก เพราะประกอบด้วยกรดอะมิโนเพียงแค่ 2 ตัว ได้แก่ ฮิสติดีน (Histidine) และ ไกลซีน (Glycine) เมื่อเทียบกับ คอลลาเจน ไทรเปปไทด์ ที่มีโครงสร้างทางโมเลกุลที่ใหญ่กว่า ทำให้คอลลาเจน ไดเปปไทด์ เป็นคอลลาเจนชนิดที่มีความสามารถในการถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและผนังลำไส้ได้มากกว่าและเร็วกว่าคอลลาเจนชนิดอื่น คอลลาเจนมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างและฟื้นฟูโครงสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย รวมถึงประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย เช่น 1) อาจช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของข้อต่อและกระดูก ลดการเสื่อมของกระดูกอ่อน 2) อาจช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และ ยืดหยุ่นมากขึ้น ลดเลือนริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้าไม่ให้แห้งกร้าน นอกจากนี้อาจยังช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวเพื่อลดความเสียหายจากแสงแดดและมลภาวะ 3) คอลลาเจนอาจมีบทบาทในการช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย ทำให้แผลหายเร็วขึ้นและลดการเกิดแผลเป็น 4) อาจมีส่วนช่วยในการบำรุงเส้นผมและเล็บให้แข็งแรง 5) กรดอะมิโนในคอลลาเจนอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบภายในร่างกายอีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. Healthline >> https://www.healthline.com
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
ผงสตรอว์เบอร์รี - สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารในกลุ่ม แอนโทไซยานิน (Anthocyanins), วิตามินซี, ไฟเบอร์ และ กรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) ที่ล้วนแต่มีคุณสมบัติที่อาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ช่วยในการย่อยอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และ ประโยชน์ต่อผิวพรรณ นอกจากนี้ สตรอว์เบอร์รี ยังเป็นหนึ่งในผลไม้ไม่กี่ชนิดที่พบสาร Fisetin ในปริมาณที่สูงมากอันดับต้นๆ. Fisetin เป็นสารประกอบทางชีวภาพในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์. Fisetin เป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็น Senolytic ที่สามารถช่วยกำจัดเซลล์ที่หยุดการแบ่งตัวแต่ไม่ตายที่เรียกว่า "Senescent Cells" หรือเรียกง่ายๆว่า Zombie Cells. เซลล์ซอมบี้เหล่านี้ไม่สามารถขจัดออกจากร่างกายได้ง่ายๆด้วยขบวนการปกติของร่างกาย และ มักจะสะสมอยู่ในร่างกายเมื่อเราอายุมากขึ้น เซลล์ซอมบี้เหล่านี้จะปล่อยสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ส่งผลให้เกิดโรคเสื่อมสภาพตามอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือ โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ดังนั้น Fisetin ที่พบในสตรอว์เบอร์รี จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ทั้งในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ กำจัดเซลล์ซอมบี้ ส่งเสริมสุขภาพสมอง และ ชะลอความเสื่อมสภาพของร่างกาย เป็นต้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. Healthline >> https://www.healthline.com
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
Melon Extract หรือ สารสกัดจากผลเมล่อน มีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะสาร Superoxide Dismutase (SOD) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ โดย SOD จะทำหน้าที่เปลี่ยนอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายให้กลายเป็นสารที่ปลอดภัยเพื่อปกป้องเซลล์จากความเสียหาย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและสารประกอบทางชีวภาพอื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนี้ 1) SOD ที่พบในเมล่อนเป็นเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุมูลอิสระ ที่อาจช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็งและโรคหัวใจ 2) อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของร่างกาย 3) อาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น 4) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพของผิวจากการทำลายของรังสี UV และ อาจช่วยลดริ้วรอยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น 5) การต้านอนุมูลอิสระของ SOD ช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้.
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. Healthline >> https://www.healthline.com
สารสกัดจากทับทิม อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และสารพฤกษเคมี (Phytochemicals) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สารสำคัญที่พบในสารสกัดจากทับทิมประกอบไปด้วย โพลีฟีนอล (Polyphenols) เช่น พูนิคาลาจิน (Punicalagin), พูนิคิกแอซิด (Punicic acid), และ แอนโทไซยานินส์ (Anthocyanins) ซึ่งล้วนแต่มีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระอย่างสูง ประโยชน์ของสารสกัดจากทับทิมที่มีต่อร่างกาย คือ 1) มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น สาร โพลีฟีนอล สามารถปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด 2) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ โดยการช่วยลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 3) สาร พูนิคาลาจิน และ สารพฤกษเคมีอื่นๆ มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้ เช่น โรคข้ออักเสบ เป็นต้น 4) สารต้านอนุมูลอิสระในสารสกัดจากทับทิมอาจช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยรังสี UV ซึ่งช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น 5) วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆในทับทิมอาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/12-proven-benefits-of-pomegranate
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-pomegranate-juice
Maqui Berry Extract หรือ สารสกัดจากผลมากีเบอร์รี เป็นสารสกัดจากผลไม้ที่พบในพื้นที่ป่าของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศชิลีและอาร์เจนตินา มากีเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจากมีระดับ แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) สูง การศึกษาหลายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่ามากีเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้อื่น ๆ หลายชนิด เช่น บลูเบอร์รี่ อาซาอิเบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ โดยความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของมากีเบอร์รีนี้สามารถวัดได้จากค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ซึ่งเป็นวิธีการวัดประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระของอาหาร ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงนี้ มากีเบอร์รีจึงมีคุณสมบัติเด่นในการช่วยป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และส่งเสริมสุขภาพของเซลล์ ประโยชน์ของ มากีเบอร์รี ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ผลมากีเบอร์รี อุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 2) สารแอนโทไซยานินในผลมากีเบอร์รีมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการบวมและปวดในร่างกาย ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ 3) สารสกัดจากผลมากีเบอร์รีมีประโยชน์ต่อสุขภาพตาเป็นอย่างมากเนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงช่วยปกป้องเซลล์ดวงตาจากการเสื่อมสภาพ และลดความเสี่ยงของโรคตาที่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นต้น 4) มีงานวิจัยบางส่วนพบว่า ผลมากีเบอร์รี อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ได้โดยการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินและลดความต้านทานต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงหรือเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 5) โพลีฟีนอลใน (Polyphenols) ในผลมากีเบอร์รีอาจมีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการป้องกันเชื้อโรคและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Mangosteen Extract หรือ สารสกัดจากมังคุด เป็นสารสกัดจากผลไม้ที่รู้จักกันในชื่อ "ราชินีผลไม้" มังคุด มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากมายและเป็นที่รู้จักกันดีในด้านคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดจากมังคุดมีสารประกอบสำคัญหลายชนิดเช่น แซนโทน (Xanthones), แทนนินส์ (Tannins) และ วิตามินซี (Vitamin C) ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพ เช่น 1) แซนโทน (Xanthones) ที่พบในมังคุดมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งช่วยลดอาการบวมและปวดในร่างกาย เช่น อาการข้ออักเสบ ทำให้สารสกัดจากมังคุดเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาอักเสบเรื้อรัง นอกจากนี้ แซนโทน และ วิตามินซี ในมังคุดยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดโอกาสการเสื่อมของเซลล์และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 2) แทนนินส์ (Tannins) ในมังคุดช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต ทำให้ระบบหลอดเลือดและหัวใจทำงานได้ดี ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 3) วิตามินซี (Vitamin C) ในสารสกัดจากมังคุดช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นจากการเจ็บป่วย 4) แซนโทนในมังคุดยังมีคุณสมบัติในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลและลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Grape Skin Extract หรือ สารสกัดจากเปลือกองุ่น เป็นสารสกัดที่ได้จากเปลือกขององุ่น ซึ่งอุดมไปด้วยสารประกอบธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายชนิด หนึ่งในสารที่สำคัญที่สุดใน Grape Skin Extract ก็คือ เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์หลากหลายต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆอย่าง ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ แอนโธไซยานิน (Anthocyanins) ที่ช่วยสนับสนุนสุขภาพโดยรวมได้อีกด้วย ประโยชน์ของ Grape Skin Extract ต่อร่างกาย 1) เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารประกอบธรรมชาติที่พบได้ในผิวองุ่น มีคุณสมบัติด้านการต้านอนุมูลอิสระที่เด่นชัดซึ่งอาจช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการสำคัญในการเกิดความชราของเซลล์ทำให้ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่างๆในร่างกายได้ดีโดยเชื่อมโยงกับกระบวนการในระดับเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับโปรตีนที่ชื่อว่า "SIRT1" ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยควบคุมการฟื้นฟูและการป้องกันเซลล์ โดย SIRT1 มีความสามารถในการชะลอการเกิดภาวะชราของเซลล์ นอกจากนี้ยังพบว่า Resveratrol ช่วยกระตุ้นการทำงานของ SIRT1 ทำให้เกิดการฟื้นฟูเซลล์ได้มากขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันการอักเสบในเซลล์อีกด้วย 2) Resveratrol ยังได้รับการศึกษาในหลายงานวิจัยว่าอาจมีส่วนช่วยในการยืดอายุของ Telomere โดยกระตุ้นเอนไซม์ที่เรียกว่า "Telomerase" ซึ่งช่วยซ่อมแซม Telomere ให้ยาวขึ้น โดยที่ Telomere เป็นส่วนปลายของโครโมโซมที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้โครโมโซมสั้นลงเมื่อเซลล์แบ่งตัว แต่เมื่ออายุมากขึ้น Telomere จะสั้นลงเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดความชรา และการที่ Telomere ยาวขึ้นจากการทำงานของ Telomerase นี้ จะช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความชรา นอกจากนี้ Telomerase ยังมีบทบาทในการปกป้องโครงสร้าง DNA ทำให้ร่างกายสามารถคงสุขภาพของเซลล์ไว้ได้ดีขึ้น 3) อาจช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อม นอกจากนี้ยังอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และ อาจช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจขาดเลือดได้ 4) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ แอนโธไซยานิน (Anthocyanins) อาจมีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ดีขึ้นซึ่งอาจช่วยป้องกันการเจ็บป่วยและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาว 5) สารเรสเวอราทรอล และ ฟลาโวนอยด์ ในสารสกัดจากเปลือกองุ่นอาจมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อ ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้นหลังจากการบาดเจ็บ และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่เกิดจากการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบ 6) Resveratrol อาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองและลดการเกิดความเสียหายของเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเสื่อมของสมองที่เกิดจากอายุและสนับสนุนสุขภาพจิตที่ดี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/resveratrol
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/grape-skin-extract
3. National Center for Biotechnology Information >> https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6164844/
Astragalus Extract หรือ สารสกัดจาก อึ่งตังเซียม หรือ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ ปักคี้ เป็นสารสกัดจากสมุนไพรโบราณที่ใช้กันแพร่หลายในแพทย์แผนจีนมายาวนาน พืชชนิดนี้เต็มไปด้วยสารประกอบสำคัญหลายอย่างที่มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น 1) โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) ในปักคี้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้และยังอาจช่วยฟื้นฟูความสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานมากขึ้นได้อีกด้วย 2) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ในปักคี้มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ โดยช่วยลดอาการบวมและอาการอักเสบในส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น อาการปวดข้อ หรืออาการที่เกิดจากการบาดเจ็บ นอกจากนี้ ฟลาโวนอยด์ยยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยป้องกันการทำลายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น 3) ซาโปนินส์ (Saponins) มีบทบาทในการลดคอเลสเตอรอลและช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดที่อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและโรคหัวใจอื่นๆ โดยทำให้ระบบหลอดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4) สารสกัดจากปักคี้ มีสารประกอบที่ช่วยกระตุ้นการผลิตของเอนไซม์เทโลเมอเรส (Telomerase Enzyme) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปกป้องและชะลอการหดสั้นของเทโลเมียร์ (Telomere) ซึ่งเป็นส่วนปลายของโครโมโซมที่หดสั้นลงทุกครั้งที่เซลล์มีการแบ่งตัว การชะลอการหดสั้นนี้อาจช่วยคงความอ่อนเยาว์และอาจช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ทำให้การแก่ชราล่าช้าและเซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Pine Bark Extract หรือ สารสกัดจากเปลือกสน เป็นสารที่สกัดมาจากเปลือกของต้นสน ซึ่งมีสารสำคัญที่เรียกว่า โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Proanthocyanidins) และ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก หนึ่งในสารสกัดที่มีชื่อเสียงจากสารสกัดจากเปลือกสนคือ Enzogenol ซึ่งมีผลอย่างมากในการป้องกันและชะลอความชราของเซลล์ โดย Enzogenol เป็นสารที่มีความเข้มข้นสูงของโพลีฟีนอล ซึ่งช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของเซลล์ ประโยชน์ของ สารสกัดจากเปลือกสนคือ 1) สารโปรแอนโธไซยานิดินส์ (Proanthocyanidins) ในเปลือกสน อาจช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นของหลอดเลือดและลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ 2) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ในเปลือกสนมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและเสริมสร้างการป้องกันร่างกายจากโรคต่าง ๆ 3) สารต้านการอักเสบใน Pine Bark Extract อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการอักเสบเรื้อรังหรือโรคข้ออักเสบ ช่วยลดอาการบวมและความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4) นอกจากนี้ สารโปรแอนโธไซยานิดินส์ (Proanthocyanidins) และ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ในเปลือกสนยังมีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ซึ่งทำให้ผิวแข็งแรง ชะลอการเกิดริ้วรอยและปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและสดใสขึ้น 5) อาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยสารสกัดจากเปลือกสนอาจช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ทำให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและช่วยลดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 6) Enzogenol ที่พบในสารสกดัจากเปลือกสน มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสงแดด มลภาวะ และ ความเครียด ดังนั้นการลดอนุมูลอิสระอาจช่วยลดการอักเสบและความเสียหายต่อเซลล์ซึ่งอาจช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ทำให้ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีขึ้น อีกทั้ง Enzogenol ยังช่วยป้องกันการสั้นลงของ Telomere ซึ่งเป็นส่วนปลายของโครโมโซมที่ทำหน้าที่ปกป้องดีเอ็นเอจากอักเสบและความเสียหายด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/pine-bark-extract-benefits
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-1019/pine-bark
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/11130515/
Haematococcus Pluvialis Extract เป็นสารสกัดจากสาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิสซึ่งเป็นสาหร่ายสีเขียวขนาดเล็กชนิดหนึ่งในตระกูล Chlorophyta Phylum ซึ่งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ที่มีสีแดงซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระสูง และเป็นสารสกัดนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหารเสริมและเครื่องสำอาง เนื่องจากช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และส่งเสริมสุขภาพในหลายด้าน แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ที่สกัดจากสาหร่าย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารอื่น ๆ หลายชนิด โดยมีการศึกษาแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระของแอสตาแซนธิน มีสูงกว่าวิตามินซีถึง 6,000 เท่า สูงกว่าวิตามินอีประมาณ 550 เท่า และ สูงกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 40 เท่า และด้วยคุณสมบัตินี้นี่เองที่ทำให้แอสตาแซนธินเป็นที่นิยมสำหรับการดูแลสุขภาพผิว สุขภาพตา ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ประโยชน์ของแอสตาแซนธินในสาหร่ายฮีมาโตคอกคัสที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) อาจช่วยปกป้องเซลล์จากการเสื่อมสภาพและความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 2) อาจช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวชุ่มชื่น ลดการอักเส
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Vitamin A Acetate หรือ ที่เรียกกันว่าเรตินิลอะซิเตท (Retinyl Acetate) เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอที่ใช้ในอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มีคุณสมบัติละลายในไขมัน สามารถดูดซึมได้ดีเมื่อรับประทานและมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการทำงานของร่างกายหลายด้าน เช่น ระบบการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ โดยในวิตามิน A Acetate นี้มีความเข้มข้นถึง 325,000 IU ต่อกรัม ทำให้เป็นแหล่งที่มีปริมาณวิตามิน A เข้มข้นสูง ประโยชน์ของ Vitamin A Acetate ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามินเอเป็นสารสำคัญที่ช่วยในการสร้างโรดอฟซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนในเซลล์จอตาที่จำเป็นต่อการมองเห็นในที่มืด สารประกอบเรตินอลใน Vitamin A Acetate ช่วยให้ร่างกายมีการปรับตัวต่อแสงสว่างที่ดี ลดโอกาสในการเกิดภาวะตาบอดกลางคืนและปัญหาสายตา 2) วิตามินเอเป็นตัวช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคและป้องกันการติดเชื้อ โดยสารเรตินอลใน Vitamin A Acetate ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น 3) ช่วยในการพัฒนาและการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง เนื้อเยื่อ และ อวัยวะต่างๆ โดยสารเรตินอลใน Vitamin A Acetate มีบทบาทในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่และรักษาเซลล์เก่า ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและการฟื้นฟูเซลล์ 4) วิตามินเอมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถลดความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังเช่น โรคหัวใจและโรคมะเร็ง ซึ่งสารเรตินอลใน Vitamin A Acetate ช่วยในกระบวนการนี้อย่างมีประสิทธิภาพ 5) วิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ สารเรตินอลใน Vitamin A Acetate ช่วยเสริมสร้างผิวหนังให้แข็งแรงและลดริ้วรอย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
D-Biotin หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี7 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการเมแทบอลิซึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเผาผลาญไขมัน โปรตีน และ คาร์โบไฮเดรต D-Biotin มีความสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพของผิว ผม และ เล็บ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสร้างพลังงานในเซลล์ ทำให้เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายระบบ ประโยชน์ของ D-Biotin ที่มีต่อร่างกายคือ 1) D-Biotin เป็นส่วนสำคัญในการผลิตเคราติน Keratin ซึ่งเป็นโปรตีนหลักของเส้นผม เล็บ และ ผิวหนัง การได้รับ D-Biotin อย่างเพียงพอสามารถช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมและทำให้ผมแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหนังและเล็บมีสุขภาพดีและแข็งแรงอีกด้วย 2) D-Biotin มีส่วนสำคัญในกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกาย โดยช่วยในการสลายไขมัน โปรตีน และ คาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงานที่เซลล์สามารถใช้ได้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างพลังงานในร่างกายและลดความเหนื่อยล้า 3) D-Biotin มีความสำคัญในการสนับสนุนระบบประสาท เนื่องจากมีส่วนในการสร้างสารสื่อประสาทที่ช่วยในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท ดังนั้นการมี D-Biotin เพียงพอจะช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดีและยังช่วยบำรุงสมองอีกด้วย 4) D-Biotin เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการเผาผลาญกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของสมอง กลูโคสช่วยให้สมองมีพลังงานเพียงพอในการผลิตสารสื่อประสาทเช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งมีความสำคัญต่อการควบคุมอารมณ์ ความจำ และการเรียนรู้ 5) ไมอีลิน (Myelin) คือ สารหุ้มปลายเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่เหมือนฉนวน ช่วยให้การส่งสัญญาณในระบบประสาททำได้อย่างรวดเร็ว D-Biotin มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างไมอีลิน ทำให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทรวดเร็วขึ้น ซึ่งมีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบประสาทโดยรวม 6) D-Biotin ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์ โดยช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์และการผลิตแอนติบอดี ซึ่งช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น 7) การได้รับ D-Biotin ในระดับที่เพียงพอช่วยให้ระดับไขมันในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดระดับของไขมันไม่ดี (LDL) และ ช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดดีและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันของเราประกอบไปด้วยวิตามินและสารสำคัญต่างๆมากมาย และนี่คือสารสำคัญหลักบางตัวที่มีผลประโยชน์ในการช่วยดูแลสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด
Beetroot Powder หรือ ผงบีทรูท คือผงที่ได้จากการนำหัวบีทรูทสดมาบดหรืออบแห้งแล้วทำเป็นผงเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการปรุงอาหารหรือผสมในเครื่องดื่ม บีทรูทถือเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และการใช้ในรูปแบบผงจะช่วยให้สะดวกต่อการบริโภคในชีวิตประจำวันได้มากยิ่งขึ้น ประโยชน์ของ บีทรูท ที่มีต่อร่างกายคือ 1) บีทรูทมีสารไนเตรต (Nitrate) ในระดับสูง เมื่อร่างกายได้รับไนเตรต จะถูกเปลี่ยนเป็นไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ซึ่งมีประโยชน์ในการขยายหลอดเลือดซึ่งอาจมีส่วนช่วยในการทำให้ความดันโลหิตลดลง 2) ไนเตรตในบีทรูทยังมีผลดีในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย โดยช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3) บีทรูทยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด เช่น เบตาเลนส์ (Betalains) ซึ่งอาจมีส่วนช่วยในการลดการอักเสบและป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคหัวใจและโรคเบาหวานได้ 4) ไนเตรตที่พบในบีทรูทสามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อม และอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองให้ดียิ่งขึ้นได้ 5) ไฟเบอร์ที่มีอยู่ในผงบีทรูทยังสามารถช่วยในการย่อยอาหาร ส่งเสริมสุขภาพของลำไส้ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้ 6) วิตามินซีในบีทรูทอาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัด และส่งเสริมสุขภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Green Tea Extract หรือ สารสกัดจากชาเขียว - ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนและญี่ปุ่น มีการปลูกและดื่มก้นมาเป็นเวลาหลายพันปีในวัฒนธรรมเอเชีย ชาเขียวมีชื่อเสียงมากในเรื่องคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) โดยเฉพาะ สารคาเทชิน (Catechins) เช่น อีพิกัลโลคาเทชินแกลเลต (Epigallocatechin Gallate), หรือที่มักเรียกกันสั้นๆว่าสาร EGCG, นอกจากนี้ยังมี คาเฟอีน (Caffeine) และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) อีกด้วย ประโยชน์ด้านอื่นๆของ สารสกัดจากชาเขียว ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) สารสกัดจากชาเขียวเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เนื่องจากมีสารคาเทชิน (Catechins) ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และช่วยลดไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง 2) EGCG (Epigallocatechin Gallate) เป็นสารที่มีคุณสมบัติสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆได้ 3) คาเฟอีน (Caffeine) ในชาเขียวอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำและการทำงานของระบบประสาท และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มการผ่อนคลายได้อีกด้วย 4) สารสกัดจากชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 5) สารสกัดจากชาเขียวอาจมีประโยชน์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โดยช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด 6) สารสกัดจากชาเขียวอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/green-tea
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/green-tea-extract
3. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-green-tea
4. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-green-tea-extract
5. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/269538
6. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/319260
Flaxseed Extract หรือ สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ เป็นสารสกัดที่ได้จากเมล็ดของต้นลินิน ซึ่งเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญ เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids) เส้นใยอาหาร และ ลิกแนน (Lignans) สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์นิยมใช้ในการบำรุงสุขภาพหัวใจ ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ประโยชน์ด้านต่างๆของสารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ที่มีต่อร่างกายคือ 1) สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะกรดอัลฟาไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid หรือ ALA) ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง 2) เส้นใยอาหารในเมล็ดแฟลกซ์อาจช่วยเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารโดยช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้และป้องกันอาการท้องผูก ทำให้ลำไส้มีสุขภาพดี 3) ลิกแนน (Lignans) ในเมล็ดแฟลกซ์มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและชะลอการเสื่อมของเซลล์ 4) สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 5) กรดไขมันโอเมก้า-3 และ สารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดแฟลกซ์อาจช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ลดการอักเสบของผิว และช่วยเสริมสุขภาพเส้นผมให้แข็งแรง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Black Sesame Extract หรือ สารสกัดจากงาดำ ได้มาจากเมล็ดงาดำที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและอุดมไปด้วยสารสำคัญ เช่น แคลเซียม (Calcium), แมกนีเซียม (Magnesium), วิตามินบี (Vitamin B), สารลิกแนน (Lignans) และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ สารสกัดจากงาดำเป็นที่รู้จักในเรื่องการบำรุงสุขภาพกระดูก ลดการอักเสบ และบำรุงสุขภาพผิว ประโยชน์ของสารสกัดจากงาดำที่มีต่อร่างกาย คือ 1) งาดำอุดมไปด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ 2) สารลิกแนน และ วิตามินบีที่พบในงาดำช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและป้องกันการเกิดริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยบำรุงสุขภาพเส้นผม ลดการหลุดร่วงและทำให้เส้นผมแข็งแรงเงางาม 3) สารต้านอนุมูลอิสระในงาดำ เช่น สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์และโรคเรื้อรังหลายประเภท 4) แร่ธาตุและวิตามินในงาดำ เช่น วิตามินบีและแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรคได้ดียิ่งขึ้น 5) สารลิกแนนในงาดำช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Haematococcus Pluvialis Extract หรือ สารสกัดจากสาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส ซึ่งเป็นสาหร่ายสีเขียวขนาดเล็กชนิดหนึ่งในตระกูล Chlorophyta Phylum ซึ่งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ที่มีสีแดงซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระสูง และเป็นสารสกัดนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหารเสริมและเครื่องสำอาง เนื่องจากช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และส่งเสริมสุขภาพในหลายด้าน แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ที่สกัดจากสาหร่าย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารอื่น ๆ หลายชนิด โดยมีการศึกษาแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระของแอสตาแซนธิน มีสูงกว่าวิตามินซีถึง 6,000 เท่า สูงกว่าวิตามินอีประมาณ 550 เท่า และ สูงกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 40 เท่า และด้วยคุณสมบัตินี้นี่เองที่ทำให้แอสตาแซนธินเป็นที่นิยมสำหรับการดูแลสุขภาพผิว สุขภาพตา ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ประโยชน์ของแอสตาแซนธินในสาหร่ายฮีมาโตคอกคัสที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) อาจช่วยปกป้องเซลล์จากการเสื่อมสภาพและความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 2) อาจช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวชุ่มชื่น ลดการอักเสบและช่วยลดริ้วรอยจากการโดนแสงแดด 3) อาจช่วยเพิ่มพลังงาน ความอดทนของร่างกาย และ อาจช่วยลดอาการอ่อนล้าจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนัก ช่วยเพิ่มความทนทานและฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ 4) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพตา จากความเสียหายของแสงแดดและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคตา เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นต้น 5) อาจช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และ อาจช่วยร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี12 เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานหลายส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะการเสริมสร้างเซลล์ประสาท การสร้างเม็ดเลือดแดง และการสังเคราะห์ DNA วิตามิน บี12 (0.1%) เป็นรูปแบบของวิตามิน บี12 ที่มีความเข้มข้นต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับการเสริมในปริมาณที่ต้องการอย่างพอดี ประโยชน์ของ Vitamin บี12 ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง - วิตามิน บี12 เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย โดยสารไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) จะช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามิน บี12 ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าได้ 2) วิตามิน บี12 เป็นสารสำคัญที่ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ไมอีลิน (Myelin) ซึ่งเป็นชั้นป้องกันของเส้นประสาท สารประกอบในวิตามิน บี12 ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทเป็นไปอย่างราบรื่น ป้องกันภาวะระบบประสาทเสื่อมและช่วยให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 3) วิตามิน บี12 มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์ DNA ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์อย่างเป็นปกติ สาร Cyanocobalamin ใน Vitamin B12 ทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆในร่างกาย 4) วิตามิน บี12 ช่วยในการเปลี่ยนสารอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต ให้เป็นพลังงานที่ร่างกายนำไปใช้ได้ สารไซยาโนโคบาลามินมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงาน ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังในชีวิตประจำวัน 5) วิตามิน บี12 มีส่วนช่วยในการลดระดับโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ สารไซยาโนโคบาลามินมีบทบาทในการควบคุมระดับนี้และช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Iron Amino Acid Chelate คือรูปแบบหนึ่งของเหล็กที่ได้รับการผสมกับกรดอะมิโนในลักษณะพิเศษที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผสมนี้จะสร้างสารประกอบที่เรียกว่า “Chelate” ทำให้เหล็กสามารถผ่านระบบทางเดินอาหารและเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายยิ่งขึ้นซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงเช่นการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลดการสะสมของเหล็กที่ไม่ถูกดูดซึมได้อีกด้วย ประโยชน์ของ Iron Amino Acid Chelate ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง เนื่องจาก เหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญในฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยนำพาออกซิเจนในร่างกายโดย Iron Amino Acid Chelate จะช่วยให้ร่างกายได้รับเหล็กอย่างเพียงพอและเสริมสร้างการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ดีขึ้น และอาจช่วยลดปัญหาภาวะโลหิตจางได้ 2) ด้วยการเชื่อมเหล็กเข้ากับกรดอะมิโน การดูดซึมจะสูงขึ้นและร่างกายสามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเหล็กรูปแบบอื่นๆ ทำให้ Iron Amino Acid Chelate เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมธาตุเหล็กโดยไม่ต้องการให้เกิดผลข้างเคียงทางระบบย่อยอาหาร 3) เหล็กมีบทบาทในการสังเคราะห์ แอดีนอสีน ไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) หรือ ATP ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเซลล์ การที่ร่างกายได้รับเหล็กอย่างเพียงพอจึงช่วยให้เซลล์มีพลังงานที่เพียงพอเพื่อการทำงานที่ดี และช่วยลดอาการเหนื่อยล้าได้อีกด้วย 4) เหล็กมีความสำคัญในการสร้างเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันเชื้อโรค การรับประทาน Iron Amino Acid Chelate อาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้เต็มที่ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและโรคต่างๆได้ 5) การมีธาตุเหล็กเพียงพอ ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากเหล็กเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการขนส่งออกซิเจนไปยังสมองซึ่งช่วยส่งเสริมความจำ การเรียนรู้ และ การตื่นตัวทางจิตใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com
2. Healthline >> https://www.healthline.com
Coenzyme Q10 หรือ CoQ10 เป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกาย โดยเฉพาะในเซลล์ที่มี Mitochondria สูง เช่น หัวใจ ตับ และไต ซึ่ง CoQ10 มีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงานสำหรับเซลล์ โดยช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ CoQ10 ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ประโยชน์อื่นๆของ CoQ10 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) CoQ10 มีบทบาทสำคัญในการช่วย Mitochondria ผลิตพลังงานที่ใช้ในเซลล์ โดยที่ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) เป็นออร์แกเนลล์ (Organelle) หรือ ส่วนประกอบเล็ก ๆ ภายในเซลล์ที่ทำหน้าที่สำคัญในการผลิตพลังงาน ซึ่งเปรียบเสมือน “โรงงานพลังงาน” ของเซลล์ โดย Mitochondria จะเปลี่ยนสารอาหารที่ได้รับจากอาหาร เช่น กลูโคสและไขมัน ให้กลายเป็นพลังงานรูปแบบของ Adenosine Triphosphate (ATP) ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ในการทำงานต่างๆของเซลล์ นอกจากนี้ Mitochondria ยังมีบทบาทในการควบคุมกระบวนการที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย เช่น การควบคุมการเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ การตายของเซลล์ (Apoptosis) และ การตอบสนองต่อความเครียดจากอนุมูลอิสระที่อาจทำให้เซลล์เสียหายอีกด้วย ดังนั้น การเพิ่มระดับ CoQ10 ในร่างกายจะช่วยเสริมสร้างพลังงาน ทำให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉงและลดความเหนื่อยล้าได้ 2) เนื่องจาก CoQ10 พบมากในเซลล์ของหัวใจดังนั้นจึงมีส่วนช่วยในเรื่องสุขภาพของหัวใจได้ นอกจากนี้ CoQ10 ยังอาจช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 3) CoQ10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ การป้องกันนี้ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และลดการเกิดริ้วรอย ทำให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ขึ้น 4) CoQ10 มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์ในการป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบและเบาหวาน 5) CoQ10 ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/coenzyme-q10
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/supplement-guide-coenzymeq10
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15189208/
มีสารหลายชนิดในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันที่อาจมีส่วนช่วยในการเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายรวมทั้งอาจมีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญได้อีกด้วย ดังนี้:
L-Carnitine Fumarate เป็นสารประกอบที่ผสมผสานระหว่าง L-Carnitine และ Fumaric Acid ซึ่งเป็นรูปแบบของแอล-คาร์นิทีน ที่มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการทำงานของร่างกาย โดย L-Carnitine ทำหน้าที่สำคัญในการขนส่งกรดไขมันเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ต่างๆในร่างกาย ส่วน Fumaric Acid ก็เป็นส่วนหนึ่งของวงจรเครบส์ (Krebs Cycle) ที่ช่วยในการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ด้วยเช่นกัน. L-Carnitine Fumarate มีประโยชน์ด้านต่างๆต่อร่างกาย เช่น 1) อาจมีช่วยในการเผาผลาญไขมันด้วยการเพิ่มการขนส่งกรดไขมันเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานได้มากขึ้น 2) อาจช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจและระบบไหลเวียนเลือด 3) อาจช่วยลดอาการเหนื่อยล้า และ เพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถออกกำลังกายได้ยาวนานขึ้น 4) อาจช่วยบำรุงสุขภาพสมองและระบบประสาทโดยช่วยเพิ่มการสร้างพลังงานให้กับเซลล์สมอง ทำให้มีผลดีต่อความจำและการเรียนรู้ และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเสื่อมสมอง เช่น อัลไซเมอร์อีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. Healthline >> https://www.healthline.com
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
Creatine Monohydrate เป็นสารอาหารที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนซึ่งพบได้ในเนื้อสัตว์และปลา รวมถึงสามารถผลิตขึ้นเองได้ในร่างกายที่ตับ ตับอ่อน และ ไต ครีเอทีนมีบทบาทสำคัญในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ โดยเฉพาะกับเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้เป็นสารที่นิยมใช้ในหมู่นักกีฬาและผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ. ประโยชน์ของ Creatine Monohydrate มีอยู่หลายประการด้วยกัน ดังนี้ 1) อาจช่วยเพิ่มพลังงานในกล้ามเนื้อโดยการผลิต ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ทำให้สามารถทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ. 2) อาจช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วยการเพิ่มความสามารถในการเก็บน้ำในเซลล์กล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อดูใหญ่ขึ้นและมีพลังงานในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายจากการออกกำลังกายได้ดีขึ้น. 3) อาจช่วยฟื้นฟูร่างกาย ช่วยลดเวลาการฟื้นตัวหลังจากการออกกำลังกาย และ ช่วยให้ร่างกายพร้อมที่จะทำกิจกรรมต่อเนื่องได้เร็วขึ้น. 4) Creatine Monohydrate ยังมีประโยชน์ต่อสมองและระบบประสาทโดยช่วยเพิ่มการผลิตพลังงานในเซลล์สมอง ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมความจำและการเรียนรู้ รวมถึงอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเสื่อมของระบบประสาท เช่น อัลไซเมอร์ (Alzheimer's) และ พาร์กินสัน (Parkinson's) 5) นอกจากนี้ Creatine Monohydrate อาจยังช่วยลดอาการเหนื่อยล้าทางจิตใจและส่งเสริมความชัดเจนทางจิตใจได้อีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. Healthline >> https://www.healthline.com
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
Coenzyme Q10 หรือ CoQ10 เป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกาย โดยเฉพาะในเซลล์ที่มี Mitochondria สูง เช่น หัวใจ ตับ และไต ซึ่ง CoQ10 มีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงานสำหรับเซลล์ โดยช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ CoQ10 ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ประโยชน์อื่นๆของ CoQ10 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) CoQ10 มีบทบาทสำคัญในการช่วย Mitochondria ผลิตพลังงานที่ใช้ในเซลล์ โดยที่ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) เป็นออร์แกเนลล์ (Organelle) หรือ ส่วนประกอบเล็ก ๆ ภายในเซลล์ที่ทำหน้าที่สำคัญในการผลิตพลังงาน ซึ่งเปรียบเสมือน “โรงงานพลังงาน” ของเซลล์ โดย Mitochondria จะเปลี่ยนสารอาหารที่ได้รับจากอาหาร เช่น กลูโคสและไขมัน ให้กลายเป็นพลังงานรูปแบบของ Adenosine Triphosphate (ATP) ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ในการทำงานต่างๆของเซลล์ นอกจากนี้ Mitochondria ยังมีบทบาทในการควบคุมกระบวนการที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย เช่น การควบคุมการเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ การตายของเซลล์ (Apoptosis) และ การตอบสนองต่อความเครียดจากอนุมูลอิสระที่อาจทำให้เซลล์เสียหายอีกด้วย ดังนั้น การเพิ่มระดับ CoQ10 ในร่างกายจะช่วยเสริมสร้างพลังงาน ทำให้ร่างกายรู้สึกกระฉับกระเฉงและลดความเหนื่อยล้าได้ 2) เนื่องจาก CoQ10 พบมากในเซลล์ของหัวใจดังนั้นจึงมีส่วนช่วยในเรื่องสุขภาพของหัวใจได้ นอกจากนี้ CoQ10 ยังอาจช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 3) CoQ10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ การป้องกันนี้ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และลดการเกิดริ้วรอย ทำให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ขึ้น 4) CoQ10 มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์ในการป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบและเบาหวาน 5) CoQ10 ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/coenzyme-q10
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/supplement-guide-coenzymeq10
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15189208/
Thiamine Hydrochloride หรือ ที่รู้จักกันดีในชื่อ วิตามิน บี1 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน วิตามินนี้ไม่สามารถสะสมในร่างกายได้จึงต้องรับจากอาหารหรืออาหารเสริมอย่างสม่ำเสมอ วิตามิน บี1 ทำงานโดยการช่วยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการทำงานของเซลล์อีกด้วย ประโยชน์ของ วิตามิน บี1 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน บี1 มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ โดยมีสารสำคัญอย่างไทอามีนไพรอฟอสเฟต (Thiamine Pyrophosphate) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอต่อการทำงานในชีวิตประจำวัน 2) วิตามิน บี1 มีส่วนสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทที่มีประสิทธิภาพ Thiamine Hydrochloride ช่วยในการผลิตสารสื่อประสาทอย่างอะซิติลโคลีน (Acetylcholine) ที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม 3) Thiamine Hydrochloride ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารไทอามีนในวิตามินนี้ช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนของเลือด ทำให้ระบบหลอดเลือดแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 4) วิตามิน บี1 มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยในการสร้างกรดเกลือในกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของอาการท้องอืดและอาการท้องผูก 5) Thiamine Hydrochloride มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ โดยสารไทอามีนมีบทบาทในการผลิต RNA และ DNA ซึ่งสำคัญต่อกระบวนการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายฟื้นฟูและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Riboflavin หรือ ที่รู้จักกันในชื่อวิตามิน บี2 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และเป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายหลายประการ ช่วยในการสร้างพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน อีกทั้งยังมีหน้าที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและระบบต่างๆ ของร่างกาย Riboflavin เป็นสารอาหารที่ไม่สามารถสร้างขึ้นเองในร่างกายได้ ต้องได้รับจากอาหาร เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช และ นม ประโยชน์ของ Riboflavin ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Riboflavin เป็นส่วนสำคัญในปฏิกิริยาชีวเคมีของการเปลี่ยนแปลงคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน ให้เป็นพลังงานที่สามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งสารฟลาวินโมโนนิวคลีโอไทด์ (Flavin mononucleotide) หรือ (FMN) และ สาร ฟลาวินอะดีนีนไดนิวคลีโอไทด์ (Flavin Adenine Dinucleotide) หรือ (FAD) ที่เป็นสารประกอบสำคัญใน Riboflavin จะช่วยในกระบวนการนี้ ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานในชีวิตประจำวัน 2) Riboflavin ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยมีสาร FAD ที่ช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งช่วยในการป้องกันการติดเชื้อและสร้างความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 3) Riboflavin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงจากการทำลายเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ สาร FMN และ FAD ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยในกระบวนการป้องกันความเครียดออกซิเดชัน ลดโอกาสในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ 4) Riboflavin มีบทบาทในการรักษาสุขภาพของผิวหนังและเส้นผม ช่วยให้ผิวดูสดใส สุขภาพดี และ ลดการเกิดสิว สารประกอบ FAD ยังช่วยในกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย จึงช่วยให้เส้นผมและเล็บแข็งแรง 5) Riboflavin ยังช่วยในการป้องกันต้อกระจกและความเสื่อมของจอตา โดยสาร FMN ช่วยในการรักษาสุขภาพของเยื่อบุตาและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเลนส์ตา ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาทางสายตา
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Niacinamide หรือ ที่เรียกว่า วิตามิน บี3 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของผิวและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย Niacinamide มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลน้ำมันในผิวและลดการอักเสบ ทำให้ Niacinamide เป็นส่วนประกอบที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลาย ประโยชน์ของ Niacinamide ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Niacinamide มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ จึงช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนังได้ เช่น สิว รอยแดง และ ผิวแพ้ง่าย นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลน้ำมันบนผิว ลดความมันและช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี 2) Niacinamide ช่วยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและแข็งแรง ป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น 3) ด้วยคุณสมบัติในการยับยั้งการผลิตเมลานิน (สารสีในผิวหนัง) Niacinamide จึงอาจช่วยลดรอยด่างดำและรอยสิวให้จางลงได้ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและมีสีสม่ำเสมอ 4) Niacinamide เป็นสารสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานในเซลล์ โดยเฉพาะในกระบวนการ Nicotinamide Adenine Dinucleotide (NAD+) ที่ช่วยกระตุ้นการผลิต ATP ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ กระบวนการนี้สำคัญในการเสริมสร้างพลังงานให้กับเซลล์สมองและเซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยให้การทำงานของเซลล์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเหนื่อยล้าและเสริมความกระฉับกระเฉง 5) Niacinamide ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของผิว ทำให้ผิวสามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกภายนอกได้ดียิ่งขึ้นส่งผลให้ผิวมีความแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือการอักเสบ 6) การทำงานของ Niacinamide ในการเพิ่มระดับ NAD+ ในร่างกายช่วยลดการเสื่อมของเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคสมองเสื่อม (Neurodegenerative Diseases) อย่างเช่น โรคอัลไซเมอร์ การเสริม Niacinamide จึงช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์สมองและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของสมอง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
D-Pantothenate, Calcium (90%) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี5 ในรูปของแคลเซียมแพนโทธีเนต เป็นแหล่งที่ดีของวิตามิน บี5 ที่ละลายในน้ำ วิตามิน บี5 มีบทบาทสำคัญในการสร้างพลังงานในร่างกาย โดยการช่วยในการเผาผลาญไขมันและคาร์โบไฮเดรตและการผลิตโคเอนไซม์ A (Coenzyme A) ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการเมแทบอลิซึม นอกจากนี้ D-Pantothenate ยังมีประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพผิวและระบบประสาทอีกด้วย ประโยชน์อื่นๆของ D-Pantothenate, Calcium (90%) ต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน บี5 มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเมแทบอลิซึม โดยเฉพาะในกระบวนการผลิต Coenzyme A ซึ่งมีหน้าที่ช่วยในการสลายไขมันและคาร์โบไฮเดรตเพื่อสร้างพลังงานให้กับร่างกาย การได้รับ D-Pantothenate อย่างเพียงพอจึงช่วยให้ร่างกายมีพลังงานที่เพียงพอและช่วยลดอาการเหนื่อยล้า 2) วิตามิน บี5 เป็นสารสำคัญที่ช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้นและช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังที่เสียหาย D-Pantothenate ช่วยลดการระคายเคืองและป้องกันการเกิดสิว รวมถึงช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและลดริ้วรอยก่อนวัย 3) D-Pantothenate มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบประสาท โดยช่วยสร้างสารสื่อประสาทและรักษาสมดุลของระบบประสาท การมีระดับวิตามิน บี5 เพียงพอจึงช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและช่วยในการจัดการความเครียดได้ 4) วิตามิน บี5 เป็นส่วนสำคัญในการผลิตฮอร์โมนที่สร้างโดยต่อมหมวกไต เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการตอบสนองต่อความเครียด การได้รับ D-Pantothenate ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดได้ดีขึ้นและช่วยลดผลกระทบจากความเครียด 5) D-Pantothenate มีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ การได้รับวิตามิน บี5เพียงพอจึงช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Pyridoxine Hydrochloride หรือ ที่รู้จักกันดีในชื่อ วิตามิน บี6 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีบทบาทสำคัญต่อระบบต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและระบบประสาท อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในกระบวนการสร้างพลังงานและเมตาบอลิซึม วิตามิน บี6 ไม่สามารถสร้างขึ้นเองในร่างกายได้ จึงต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริม ประโยชน์ของ วิตามิน บี6 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Pyridoxine Hydrochloride มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน ให้เป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ สารประกอบนี้ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการเผาผลาญ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่เพียงพอสำหรับการทำงานต่างๆ 2) Pyridoxine Hydrochloride เป็นตัวช่วยในการสังเคราะห์สารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ วิตามิน บี6 ยังอาจช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าและอาการเครียด โดยช่วยในการควบคุมระดับของสารเคมีในสมอง 3) วิตามิน บี6 มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับเชื้อโรค นอกจากนี้ยังอาจช่วยในการสร้างแอนติบอดี้ ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อและโรคภัย 4) Pyridoxine Hydrochloride เป็นสารสำคัญที่ใช้ในการผลิตฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและลดโอกาสเกิดภาวะโลหิตจาง 5) Pyridoxine Hydrochloride ช่วยลดระดับโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น วิตามิน บี6 จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพหัวใจและส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดที่ดี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
ไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ วิตามิน บี12 เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานหลายส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะการเสริมสร้างเซลล์ประสาท การสร้างเม็ดเลือดแดง และการสังเคราะห์ DNA วิตามิน บี12 (0.1%) เป็นรูปแบบของวิตามิน บี12 ที่มีความเข้มข้นต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับการเสริมในปริมาณที่ต้องการอย่างพอดี ประโยชน์ของ Vitamin บี12 ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง - วิตามิน บี12 เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย โดยสารไซยาโนโคบาลามิน (Cyanocobalamin) จะช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดวิตามิน บี12 ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าได้ 2) วิตามิน บี12 เป็นสารสำคัญที่ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ไมอีลิน (Myelin) ซึ่งเป็นชั้นป้องกันของเส้นประสาท สารประกอบในวิตามิน บี12 ช่วยให้การส่งสัญญาณประสาทเป็นไปอย่างราบรื่น ป้องกันภาวะระบบประสาทเสื่อมและช่วยให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 3) วิตามิน บี12 มีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์ DNA ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์อย่างเป็นปกติ สาร Cyanocobalamin ใน Vitamin B12 ทำให้กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆในร่างกาย 4) วิตามิน บี12 ช่วยในการเปลี่ยนสารอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต ให้เป็นพลังงานที่ร่างกายนำไปใช้ได้ สารไซยาโนโคบาลามินมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างพลังงาน ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังในชีวิตประจำวัน 5) วิตามิน บี12 มีส่วนช่วยในการลดระดับโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ สารไซยาโนโคบาลามินมีบทบาทในการควบคุมระดับนี้และช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
มีสารสำคัญหลายตัวในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันของเราที่ทำงานร่วมกันในการช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยมีสารสำคัญที่เด่นๆดังนี้
Astragalus Extract หรือ สารสกัดจาก อึ่งตังเซียม หรือ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ ปักคี้ เป็นสารสกัดจากสมุนไพรโบราณที่ใช้กันแพร่หลายในแพทย์แผนจีนมายาวนาน พืชชนิดนี้เต็มไปด้วยสารประกอบสำคัญหลายอย่างที่มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น 1) โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) ในปักคี้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้และยังอาจช่วยฟื้นฟูความสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยให้ร่างกายมีพลังงานมากขึ้นได้อีกด้วย 2) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ในปักคี้มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ โดยช่วยลดอาการบวมและอาการอักเสบในส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น อาการปวดข้อ หรืออาการที่เกิดจากการบาดเจ็บ นอกจากนี้ ฟลาโวนอยด์ยยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยป้องกันการทำลายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง เป็นต้น 3) ซาโปนินส์ (Saponins) มีบทบาทในการลดคอเลสเตอรอลและช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดที่อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวและโรคหัวใจอื่นๆ โดยทำให้ระบบหลอดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4) สารสกัดจากปักคี้ มีสารประกอบที่ช่วยกระตุ้นการผลิตของเอนไซม์เทโลเมอเรส (Telomerase Enzyme) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปกป้องและชะลอการหดสั้นของเทโลเมียร์ (Telomere) ซึ่งเป็นส่วนปลายของโครโมโซมที่หดสั้นลงทุกครั้งที่เซลล์มีการแบ่งตัว การชะลอการหดสั้นนี้อาจช่วยคงความอ่อนเยาว์และอาจช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ทำให้การแก่ชราล่าช้าและเซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
ผงเห็ดชิตาเกะ ทำมาจากเห็ดชิตาเกะที่ถูกอบแห้งและบดละเอียด เห็ดชนิดนี้อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด รวมถึงวิตามินบี (B vitamins), วิตามินดี (Vitamin D), สารเบต้ากลูแคน (Beta-glucans) และ สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ เช่น แลนทิโอนีน (Lentinan) ซึ่งมีคุณสมบัติทางยาที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพในหลายด้านด้วยกัน เช่น 1) สาร Lentinan และ สาร Beta-glucans โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Beta D-glucan 1,3/1,6 ซึ่งเป็นโครงสร้างของ Beta D-glucan ที่ถูกจัดเรียงในลักษณะของพันธะ 1,3 และ 1,6 ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์แมคโครฟาจ (Macrophages) และ เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ (Natural Killer Cells) ที่ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อได้ดียิ่งขึ้น 2) สารประกอบในเห็ดชิตาเกะอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และ ช่วยควบคุมความดันโลหิต ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจ 3) สาร Lentinan ในเห็ดชิตาเกะมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งที่อาจช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถตรวจจับและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติได้ดีขึ้น 4) เห็ดชิตาเกะมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดอาการบวมแดงและอาการอักเสบในร่างกาย ทำให้ช่วยบรรเทาอาการของโรคอักเสบต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบ เป็นต้น 5) วิตามินดีที่พบในเห็ดชิตาเกะมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และ อาจช่วยปรับสภาพผิวให้ดูอ่อนเยาว์และปกป้องผิวจากรังสี UV ได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/shiitake-mushrooms
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-791/shiitake-mushroom
สารสกัดจากโสมเกาหลี ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางและยาวนาน และ เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เพราะในโสมเกาหลีมีส่วนประกอบทางเคมีที่สำคัญหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายและระบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประกอบในกลุ่ม จินเซโนไซด์ (Ginsenosides) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์หลักของโสมเกาหลีที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพหลายประการ เช่น 1) อาจช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาทในด้านการรับรู้ ความจำ และ การโฟกัส นอกจากนี้อาจยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์และความเสื่อมของระบบประสาทอีกด้วย 2) อาจมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันช่วยทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อโรคและป้องกันการอักเสบได้ดียิ่งขึ้น 3) จินเซโนไซด์ อาจมีส่วนช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและการแก่ก่อนวัย 4) จินเซโนไซด์ในโสม ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต จึงอาจมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. Healthline >> https://www.healthline.com
Guava Extract หรือ สารสกัดจากฝรั่ง เป็นสารสกัดที่ได้จากผลไม้ฝรั่ง ซึ่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ สารสกัดจากฝรั่งมักใช้ในการเสริมอาหารและเครื่องสำอาง เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและการป้องกันโรค ประโยชน์ของสารสกัดฝรั่งที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามินซี (Vitamin C) ในฝรั่งมีปริมาณสูงมาก ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานเชื้อโรคและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ นอกจากนี้ วิตามินซีในฝรั่งยังอาจช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวแลดูสดใสและช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย 2) ฝรั่งอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก นอกจากนี้ไฟเบอร์ยังช่วยในการบำรุงสุขภาพลำไส้และรักษาสมดุลของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ 3) ฝรั่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ไลโคปีน (Lycopene) และ เบต้าแคโรทีน (Beta-Carotene) ซึ่งอาจช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งและโรคหัวใจได้ 4) โพแทสเซียม (Potassium) ในฝรั่งมีบทบาทในการช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Spirulina Powder หรือ ผงสาหร่ายเกลียวทอง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และ แร่ธาตุหลายชนิด สาหร่ายเกลียวทองเป็นที่รู้จักในฐานะ "ซุปเปอร์ฟู้ด" เนื่องจากมีสารอาหารที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ด้วยสารสำคัญ เช่น ไฟโคไซยานิน (Phycocyanin) และ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ประโยชน์ต่างๆของ Spirulina Powder ที่มีต่อร่างกายคือ 1) อาจช่วยเพิ่มพลังงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากสาหร่าย Spirulina อุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการฟื้นฟูร่างกายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมี วิตามินบี ที่ช่วยในการแปลงอาหารเป็นพลังงาน ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงและทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น 2) Phycocyanin ในสาหร่าย Spirulina มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ รวมถึงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน 3) Spirulina Powder มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และ วิตามินอี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอย่างเช่นธาตุเหล็กและสังกะสีที่ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน 4) สาหร่าย Spirulina มีคุณสมบัติที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ การบริโภค Spirulina สามารถช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 5) สาหร่าย Spirulina มีความสามารถในการล้างสารพิษออกจากร่างกายได้ โดยเฉพาะสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและปรอท ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถกำจัดสารพิษเหล่านี้ออกได้ดีขึ้นและรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/10-proven-benefits-of-spirulina
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/spirulina-good-for-you
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12639401/
Onion Extract หรือ สารสกัดจากหัวหอม เป็นสารสกัดที่ได้จากหัวหอม ซึ่งเป็นพืชที่ใช้ในอาหารและยามานานหลายพันปี หัวหอมมีสารอาหารและสารประกอบทางชีวภาพที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ ซัลเฟอร์ (Sulfur) ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ สารสกัดจากหัวหอมถูกนำมาใช้ในอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณเพื่อให้ได้ประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่มีอยู่ในหัวหอม ประโยชน์ของ สารสกัดจากหัวหอมที่มีต่อร่างกายคือ 1) ช่วยลดการอักเสบ - สารสกัดจากหัวหอมมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เช่น อาการข้ออักเสบ และโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง 2) เควอซิทิน (Quercetin) ในหัวหอม เป็นสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหวัดและโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง 3) สารสกัดจากหัวหอมมีคุณสมบัติที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน 4) สารสกัดจากหัวหอมอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น 5) หัวหอมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง และชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย 6) ในหัวหอมมีสาร ซัลเฟอร์ (Sulfur Compounds) ที่ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและช่วยในการดีท็อกซ์ร่างกายได้อีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/onion-benefits
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-onions
3. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/276714
Citrus Bioflavonoid Powder หรือ ผงไบโอฟลาโวนอยด์ ที่สกัดจากผลไม้ในตระกูลส้ม เช่น ส้มโอ ส้มเขียวหวาน และ มะนาว ซึ่งอุดมไปด้วยสารไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สารไบโอฟลาโวนอยด์เหล่านี้ประกอบไปด้วยสารสำคัญ เช่น เฮสเพอริดิน (Hesperidin), รูติน (Rutin) และ ควอซิทิน (Quercetin) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสุขภาพหัวใจ และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ประโยชน์ของผงซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีต่อร่างกายคือ 1) อาจมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเนื่องจากในผงซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ มีสารเฮสเพอริดินและควอซิทินที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต้านทานเชื้อโรคและไวรัสได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบ 2) อาจช่วยลดการอักเสบได้ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการอักเสบเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบ โดยเฉพาะเฮสเพอริดินและรูตินที่ช่วยลดอาการบวมและอาการปวด 3) ผงซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 4) เฮสเพอริดินและรูตินในผงซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในเลือด และอาจช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 5) ไบโอฟลาโวนอยด์อาจมีส่วนช่วยในการป้องกันการทำลายของผิวจากแสงแดดและมลภาวะ ลดการเกิดริ้วรอย และทำให้ผิวพรรณดูสดใสแข็งแรงขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Vitamin D3 หรือ ที่เรียกว่า คอเลแคลซิฟอรอล (Cholecalciferol) เป็นรูปแบบของวิตามินดีที่ร่างกายสามารถผลิตได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด วิตามิน ดี3 เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และ มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพกระดูก ระบบภูมิคุ้มกัน และ การทำงานของเซลล์ต่างๆ วิตามิน ดี3 ในระดับความเข้มข้น 100,000 IU ต่อกรัม จัดว่าเป็นปริมาณที่เข้มข้น ช่วยให้ร่างกายสามารถรับวิตามินนี้ได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ประโยชน์ของ Vitamin D3 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน ดี3 ช่วยในกระบวนการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ลำไส้ทำให้ร่างกายสามารถนำแร่ธาตุเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง Cholecalciferol ใน Vitamin D3 เป็นสารประกอบสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนและปัญหาสุขภาพฟัน 2) วิตามิน ดี3 มีบทบาทในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อ Cholecalciferol ใน Vitamin D3 ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิคุ้มกันอ่อนแอ 3) การมีระดับวิตามิน ดี3 ที่เพียงพอช่วยลดระดับความดันโลหิตซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือฟอรอล Cholecalciferol ใน Vitamin D3 ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงและลดการอักเสบที่อาจเกิดในระบบหลอดเลือด 4) วิตามิน ดี3 ช่วยส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Cholecalciferol ใน Vitamin D3 มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ 5) วิตามิน D3 มีบทบาทในการควบคุมการทำงานของอินซูลินและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมดุล สาร Cholecalciferol ใน Vitamin D3 มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Folic Acid หรือ ที่รู้จักกันว่า วิตามิน บี9 เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อกระบวนการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงการตั้งครรภ์และการพัฒนาเซลล์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้าง DNA และ RNA ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมสำคัญที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ต่างๆ Folic Acid จึงเป็นสารอาหารสำคัญที่ควรได้รับเพียงพอเพื่อสนับสนุนการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ประโยชน์ของ Folic Acid ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาในช่วงตั้งครรภ์ - Folic Acid มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาเซลล์ โดยเฉพาะในระยะตั้งครรภ์ สารโฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของระบบประสาทในทารก เช่น การเกิดภาวะหลอดประสาทปิดไม่สมบูรณ์ (Neural Tube Defect) ซึ่งเป็นเหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ Folic Acid อย่างเพียงพอ 2) Folic Acid เป็นส่วนสำคัญในการผลิตเม็ดเลือดแดง โดยช่วยในกระบวนการผลิต DNA ที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ สารประกอบโฟเลตใน Folic Acid ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง ทำให้ร่างกายมีพลังงานและระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) Folic Acid มีบทบาทสำคัญในการสร้างและซ่อมแซม DNA ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท โดยการรับประทาน Folic Acid ที่เพียงพอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและภาวะจิตเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมของระบบประสาทในผู้สูงอายุ 4) Folic Acid ช่วยลดระดับของโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยโฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ทำหน้าที่ลดระดับสารนี้ ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจ 5) Folic Acid มีบทบาทในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยช่วยในการผลิตเม็ดเลือดขาวที่มีความสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค โฟเลต (Folates) ใน Folic Acid ช่วยทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันเชื้อโรคได้ดีขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Green Tea Extract หรือ สารสกัดจากชาเขียว - ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนและญี่ปุ่น มีการปลูกและดื่มก้นมาเป็นเวลาหลายพันปีในวัฒนธรรมเอเชีย ชาเขียวมีชื่อเสียงมากในเรื่องคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) โดยเฉพาะ สารคาเทชิน (Catechins) เช่น อีพิกัลโลคาเทชินแกลเลต (Epigallocatechin Gallate), หรือที่มักเรียกกันสั้นๆว่าสาร EGCG, นอกจากนี้ยังมี คาเฟอีน (Caffeine) และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) อีกด้วย ประโยชน์ด้านอื่นๆของ สารสกัดจากชาเขียว ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) สารสกัดจากชาเขียวเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เนื่องจากมีสารคาเทชิน (Catechins) ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และช่วยลดไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง 2) EGCG (Epigallocatechin Gallate) เป็นสารที่มีคุณสมบัติสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆได้ 3) คาเฟอีน (Caffeine) ในชาเขียวอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำและการทำงานของระบบประสาท และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มการผ่อนคลายได้อีกด้วย 4) สารสกัดจากชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 5) สารสกัดจากชาเขียวอาจมีประโยชน์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โดยช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด 6) สารสกัดจากชาเขียวอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/green-tea
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/green-tea-extract
3. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-green-tea
4. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-green-tea-extract
5. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/269538
6. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/319260
มีสารสำคัญอยู่หลายชนิดที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันที่อาจมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพของดวงตาได้ ดังนี้
Maqui Berry Extract หรือ สารสกัดจากผลมากีเบอร์รี เป็นสารสกัดจากผลไม้ที่พบในพื้นที่ป่าของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศชิลีและอาร์เจนตินา มากีเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจากมีระดับ แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) สูง การศึกษาหลายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่ามากีเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้อื่น ๆ หลายชนิด เช่น บลูเบอร์รี่ อาซาอิเบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ โดยความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของมากีเบอร์รีนี้สามารถวัดได้จากค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ซึ่งเป็นวิธีการวัดประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระของอาหาร ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงนี้ มากีเบอร์รีจึงมีคุณสมบัติเด่นในการช่วยป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และส่งเสริมสุขภาพของเซลล์ ประโยชน์ของ มากีเบอร์รี ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ผลมากีเบอร์รี อุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 2) สารแอนโทไซยานินในผลมากีเบอร์รีมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการบวมและปวดในร่างกาย ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ 3) สารสกัดจากผลมากีเบอร์รีมีประโยชน์ต่อสุขภาพตาเป็นอย่างมากเนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงช่วยปกป้องเซลล์ดวงตาจากการเสื่อมสภาพ และลดความเสี่ยงของโรคตาที่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นต้น 4) มีงานวิจัยบางส่วนพบว่า ผลมากีเบอร์รี อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ได้โดยการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินและลดความต้านทานต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงหรือเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 5) โพลีฟีนอลใน (Polyphenols) ในผลมากีเบอร์รีอาจมีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการป้องกันเชื้อโรคและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Marigold Extract หรือ สารสกัดจากดอกดาวเรือง เป็นสารที่สกัดมาจากดอกดาวเรือง (Marigold) ซึ่งมีสารสำคัญที่เรียกว่า ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสุขภาพดวงตาและผิวหนัง เนื่องจากมีคุณสมบัติในการป้องกันและลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ ประโยชน์ของ Marigold Extract ต่อร่างกายคือ 1) Lutein และ Zeaxanthin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในดวงตา โดยเฉพาะในจุดรับภาพที่เรียกว่า มาคูลา (Macula) ดังนั้นการบริโภคสารสกัดจากดอกดาวเรืองที่มีทั้งลูทีนและซีแซนทีนจึงช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพที่มักเกิดจากอายุ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (AMD) 2) ลูทีนและซีแซนทีนในสารสกัดจากดอกดาวเรือง อาจช่วยในการกรองแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ และ คอมพิวเตอร์ ได้ โดยแสงสีฟ้าสามารถทำลายเซลล์ดวงตาในระยะยาวได้ การบริโภคสารเหล่านี้จึงอาจช่วยลดผลกระทบจากแสงสีฟ้าต่อดวงตา 3) คุณสมบัติด้านการต้านอนุมูลอิสระและปกป้องผิวหนัง โดย ลูทีนและซีแซนทีนในสารสกัดจากดอกดาวเรือง มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันผิวหนังจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยและความเสื่อมสภาพของผิว นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและทำให้ผิวแลดูสุขภาพดี 4) สารสกัดจากดอกดาวเรืองมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่ช่วยลดอาการอักเสบในเนื้อเยื่อและเซลล์ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบและโรคผิวหนังอักเสบ 5) นอกจากนี้ ลูทีนและซีแซนทีนก็ไม่ได้มีประโยชน์แค่เฉพาะกับดวงตาเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนการทำงานของสมองได้อีกด้วย เนื่องจากสารเหล่านี้ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระและเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลในผู้สูงอายุ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/marigold-extract-benefits
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-marigold
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31765730/
Vitamin A Acetate หรือ ที่เรียกกันว่าเรตินิลอะซิเตท (Retinyl Acetate) เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอที่ใช้ในอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มีคุณสมบัติละลายในไขมัน สามารถดูดซึมได้ดีเมื่อรับประทานและมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการทำงานของร่างกายหลายด้าน เช่น ระบบการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ โดยในวิตามิน A Acetate นี้มีความเข้มข้นถึง 325,000 IU ต่อกรัม ทำให้เป็นแหล่งที่มีปริมาณวิตามิน A เข้มข้นสูง ประโยชน์ของ Vitamin A Acetate ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามินเอเป็นสารสำคัญที่ช่วยในการสร้างโรดอฟซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นโปรตีนในเซลล์จอตาที่จำเป็นต่อการมองเห็นในที่มืด สารประกอบเรตินอลใน Vitamin A Acetate ช่วยให้ร่างกายมีการปรับตัวต่อแสงสว่างที่ดี ลดโอกาสในการเกิดภาวะตาบอดกลางคืนและปัญหาสายตา 2) วิตามินเอเป็นตัวช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคและป้องกันการติดเชื้อ โดยสารเรตินอลใน Vitamin A Acetate ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น 3) ช่วยในการพัฒนาและการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง เนื้อเยื่อ และ อวัยวะต่างๆ โดยสารเรตินอลใน Vitamin A Acetate มีบทบาทในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่และรักษาเซลล์เก่า ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและการฟื้นฟูเซลล์ 4) วิตามินเอมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถลดความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังเช่น โรคหัวใจและโรคมะเร็ง ซึ่งสารเรตินอลใน Vitamin A Acetate ช่วยในกระบวนการนี้อย่างมีประสิทธิภาพ 5) วิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์ สารเรตินอลใน Vitamin A Acetate ช่วยเสริมสร้างผิวหนังให้แข็งแรงและลดริ้วรอย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Haematococcus Pluvialis Extract เป็นสารสกัดจากสาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิสซึ่งเป็นสาหร่ายสีเขียวขนาดเล็กชนิดหนึ่งในตระกูล Chlorophyta Phylum ซึ่งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ที่มีสีแดงซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระสูง และเป็นสารสกัดนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหารเสริมและเครื่องสำอาง เนื่องจากช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และส่งเสริมสุขภาพในหลายด้าน แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ที่สกัดจากสาหร่าย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าสารอื่น ๆ หลายชนิด โดยมีการศึกษาแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระของแอสตาแซนธิน มีสูงกว่าวิตามินซีถึง 6,000 เท่า สูงกว่าวิตามินอีประมาณ 550 เท่า และ สูงกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 40 เท่า และด้วยคุณสมบัตินี้นี่เองที่ทำให้แอสตาแซนธินเป็นที่นิยมสำหรับการดูแลสุขภาพผิว สุขภาพตา ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ประโยชน์ของแอสตาแซนธินในสาหร่ายฮีมาโตคอกคัสที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) อาจช่วยปกป้องเซลล์จากการเสื่อมสภาพและความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 2) อาจช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวชุ่มชื่น ลดการอักเสบและช่วยลดริ้วรอยจากการโดนแสงแดด 3) อาจช่วยเพิ่มพลังงาน ความอดทนของร่างกาย และ อาจช่วยลดอาการอ่อนล้าจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนัก ช่วยเพิ่มความทนทานและฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ 4) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพตา จากความเสียหายของแสงแดดและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคตา เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นต้น 5) อาจช่วยเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และ อาจช่วยร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันของเราประกอบด้วยสารสำคัญหลากหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการส่งเสริมการทำงานของตับและไต รวมถึงช่วยขจัดสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย โดยสารสำคัญเหล่านี้ ได้แก่:
Spirulina Powder หรือ ผงสาหร่ายเกลียวทอง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และ แร่ธาตุหลายชนิด สาหร่ายเกลียวทองเป็นที่รู้จักในฐานะ "ซุปเปอร์ฟู้ด" เนื่องจากมีสารอาหารที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ด้วยสารสำคัญ เช่น ไฟโคไซยานิน (Phycocyanin) และ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ประโยชน์ต่างๆของ Spirulina Powder ที่มีต่อร่างกายคือ 1) อาจช่วยเพิ่มพลังงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เนื่องจากสาหร่าย Spirulina อุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการฟื้นฟูร่างกายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมี วิตามินบี ที่ช่วยในการแปลงอาหารเป็นพลังงาน ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงและทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น 2) Phycocyanin ในสาหร่าย Spirulina มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ รวมถึงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน 3) Spirulina Powder มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และ วิตามินอี ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอย่างเช่นธาตุเหล็กและสังกะสีที่ช่วยในการป้องกันการติดเชื้อและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน 4) สาหร่าย Spirulina มีคุณสมบัติที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ การบริโภค Spirulina สามารถช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 5) สาหร่าย Spirulina มีความสามารถในการล้างสารพิษออกจากร่างกายได้ โดยเฉพาะสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและปรอท ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถกำจัดสารพิษเหล่านี้ออกได้ดีขึ้นและรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/10-proven-benefits-of-spirulina
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/spirulina-good-for-you
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12639401/
Moringa Extract คือสารสกัดจากมะรุม (Moringa Oleifera) ซึ่งเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน เช่น อินเดียและแอฟริกา มะรุมเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ มีการใช้มะรุมในแพทย์แผนโบราณมาเป็นเวลานานเพื่อรักษาโรคต่างๆ และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม ปัจจุบัน Moringa Extract ได้รับความนิยมมากขึ้นในฐานะอาหารเสริมเพื่อการบำรุงสุขภาพ ประโยชน์ของ Moringa Extract ต่อร่างกายคือ 1) เนื่องจาก Moringa Extract มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงอาจมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและป้องกันการติดเชื้อได้ดียิ่งขึ้น 2) เควอซิทิน (Quercetin) ที่พบในมะรุมมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบในร่างกาย เช่น ข้ออักเสบ และช่วยป้องกันการอักเสบที่เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆอีกทั้งยังอาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพของหัวใจได้อีกด้วย 3) ในมะรุมมีกรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) ที่อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยการช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดการดูดซึมน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน 4) สารต้านอนุมูลอิสระในมะรุมอาจช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และแข็งแรง นอกจากนี้ยังอาจช่วยบำรุงเส้นผม ลดการหลุดร่วงและเสริมความแข็งแรงให้กับเส้นผม 5) Moringa Extract มีใยอาหารที่อาจช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้นและป้องกันปัญหาท้องผูกได้ 6) มะรุมอุดมไปด้วยวิตามินเอ ที่อาจมีส่วนช่วยบำรุงสายตาและเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนังได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/6-benefits-of-moringa-oleifera
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-moringa
3. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/319916
Kelp Extract หรือ สารสกัดจากสาหร่ายเคลป์ เป็นสารที่ได้มาจากสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลซึ่งเติบโตในมหาสมุทรเย็นทั่วโลก สาหร่ายเคลป์อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะไอโอดีน (Iodine) และสารประกอบที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ทำให้ Kelp Extract มีประโยชน์ต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ ระบบภูมิคุ้มกัน และการลดการอักเสบในร่างกาย ประโยชน์ของ Kelp Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) อาจช่วยสนับสนุนการทำงานของต่อมไทรอยด์ เนื่องจากสาหร่ายเคลป์อุดมไปด้วยไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่จำเป็นสำหรับการผลิตฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ ฮอร์โมนเหล่านี้ช่วยควบคุมการเผาผลาญของร่างกาย ส่งผลต่อพลังงานและการเจริญเติบโตของเซลล์ การบริโภค สารสกัดจากสาหร่ายเคลป์สามารถช่วยสนับสนุนสุขภาพของต่อมไทรอยด์และลดความเสี่ยงต่อภาวะขาดไอโอดีนได้ 2) สารต้านอนุมูลอิสระใน Kelp เช่น โพลีฟีนอล (Polyphenols) และ ฟูโคแซนทิน (Fucoxanthin) ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น และช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคเรื้อรังได้ดียิ่งขึ้น 3) Fucoxanthin ในสาหร่ายเคลป์มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบที่ดีเยี่ยม อาจช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการลดอาการเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับโรคข้ออักเสบและสภาวะอักเสบเรื้อรังอื่นๆได้ 4) ฟูโคแซนทินในสาหร่ายเคลป์ ยังอาจช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกายได้ ซึ่งอาจช่วยสนับสนุนการควบคุมน้ำหนักและสุขภาพของระบบเผาผลาญ 5) แร่ธาตุและวิตามินใน Kelp Extract อาจช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้แข็งแรงได้ และไอโอดีนและสารอาหารอื่น ๆ อาจช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นผมและช่วยให้ผิวดูสดใสและสุขภาพดี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/benefits-of-kelp
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/kelp-good-for-you
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/28966693/
Onion Extract หรือ สารสกัดจากหัวหอม เป็นสารสกัดที่ได้จากหัวหอม ซึ่งเป็นพืชที่ใช้ในอาหารและยามานานหลายพันปี หัวหอมมีสารอาหารและสารประกอบทางชีวภาพที่มีประโยชน์หลายชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ ซัลเฟอร์ (Sulfur) ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ สารสกัดจากหัวหอมถูกนำมาใช้ในอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณเพื่อให้ได้ประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่มีอยู่ในหัวหอม ประโยชน์ของ สารสกัดจากหัวหอมที่มีต่อร่างกายคือ 1) ช่วยลดการอักเสบ - สารสกัดจากหัวหอมมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เช่น อาการข้ออักเสบ และโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง 2) เควอซิทิน (Quercetin) ในหัวหอม เป็นสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหวัดและโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง 3) สารสกัดจากหัวหอมมีคุณสมบัติที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ซึ่งมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน 4) สารสกัดจากหัวหอมอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น 5) หัวหอมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง และชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย 6) ในหัวหอมมีสาร ซัลเฟอร์ (Sulfur Compounds) ที่ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและช่วยในการดีท็อกซ์ร่างกายได้อีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/onion-benefits
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-onions
3. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/276714
Jiao Gu Lan หรือ ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Gynostemma Pentaphyllum เป็นสมุนไพรที่มีการใช้มาอย่างยาวนานในประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ โดยมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สมุนไพรอายุยืน" เนื่องจากสารสกัดจาก Jiao Gu Lan อุดมไปด้วยสารประกอบสำคัญอย่าง ไกลโคไซด์ (Gypenosides) และ ซาโปนิน (Saponins) ซึ่งมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น 1) ไกลโคไซด์ (Gypenosides) และ ซาโปนิน (Saponins) ใน Jiao Gu Lan อาจมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) ในขณะเดียวกันก็อาจช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) ทำให้อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงอาจช่วยเสริมสร้างระบบไหลเวียนโลหิตให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย 2) สาร Gypenosides ใน Jiao Gu Lan อาจมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายโดยการส่งเสริมการใช้ออกซิเจนของเซลล์ ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ลดความเหนื่อยล้า และเพิ่มความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน 3) สารต้านการอักเสบใน Jiao Gu Lan อาจช่วยลดอาการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ 4) นอกจากนี้ สาร Gypenosides ใน Jiao Gu Lan อาจช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นและทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 5) Jiao Gu Lan อาจช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยการเพิ่มความไวของอินซูลิน ซึ่งทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลดีขึ้นและช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน 6) นอกจากนี้ Jiao Gu Lan ยังมีคุณสมบัติที่อาจช่วยเพิ่มการผลิตสารเคมีในสมองที่ช่วยเพิ่มความสงบและลดความเครียด เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) ทำให้สมองทำงานอย่างผ่อนคลาย ลดความเครียดและความกังวลที่อาจกระทบต่อสมองในระยะยาว 7) สาร Gypenosides ยังอาจช่วยปรับสมดุลระบบประสาทและสนับสนุนการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้การทำงานของสมองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยให้การตอบสนองทางความคิดและอารมณ์ดีขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/jiaogulan
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/gynostemma-health-benefits
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/25996760/
L-Cysteine คือ กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อกระบวนการสร้างโปรตีนในร่างกาย เป็นกรดอะมิโนกึ่งจำเป็น (Semi-essential Amino Acid) ซึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เองในบางกรณี แต่บางครั้งร่างกายต้องการปริมาณเพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงที่มีความเครียด เจ็บป่วย หรือร่างกายต้องการฟื้นฟูจากการออกกำลังกายหรือบาดเจ็บ L-Cysteine ยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างกลูตาไธโอน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากในร่างกายอีกด้วย ประโยชน์ของ L-Cysteine ที่มีต่อร่างกาย คือ 1) ช่วยเพิ่มการผลิตกลูตาไธโอน (Glutathione) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญในการปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และช่วยชะลอกระบวนการชราของเซลล์ 2) L-Cysteine มีบทบาทสำคัญในการสร้างเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นผมและเล็บ การเสริมด้วย L-Cysteine อาจช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม และทำให้เล็บแข็งแรง ไม่เปราะบางง่ายได้อีกด้วย 3) อาจมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูตับและการขจัดสารพิษ - L-Cysteine ทำหน้าที่ในการช่วยขจัดสารพิษออกจากตับโดยการกระตุ้นการผลิตกลูตาไธโอน ซึ่งเป็นสารที่ตับใช้ในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเสียหายของตับที่เกิดจากสารพิษหรือการดื่มแอลกอฮอล์ 4) L-Cysteine อาจมีส่วนช่วยในการทำให้มูกในปอดบางลง ซึ่งช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอดหรือโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง 5) L-Cysteine อาจมีบทบาทในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากมันช่วยลดการอักเสบและลดความเครียดออกซิเดชั่นในร่างกาย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/l-cysteine
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-1032/cysteine
3. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/cysteine-benefits
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางวันของเรามีส่วนผสมของสารสำคัญหลายชนิดที่มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ตัวอย่างของสารสำคัญเหล่านี้ ได้แก่:
Alpha-Lipoic Acid (ALA) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติเฉพาะในการละลายได้ทั้งในน้ำและไขมันทำให้สามารถทำงานได้ทั้งในเซลล์และภายนอกเซลล์ ร่างกายของเราสามารถผลิต ALA ได้เองในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น แต่สามารถเสริมได้จากอาหาร เช่น ผักใบเขียว มะเขือเทศ และ เนื้อสัตว์เป็นต้น โดย ALA มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนกลูโคสเป็นพลังงานและมีประโยชน์หลายประการต่อสุขภาพ เช่น 1) ALA เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสื่อมของเซลล์และการเกิดริ้วรอย การได้รับ ALA อาจช่วยให้เซลล์มีความเสถียรมากขึ้นและชะลอความชรา 2) ALA มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ประสาทและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางประสาท เช่น โรคประสาทอักเสบ และ โรคปลายประสาทเสื่อม นอกจากนี้ ALA ยังช่วยในการฟื้นฟูระบบประสาทโดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นประสาทส่วนปลายอีกด้วย 3) ALA มีคุณสมบัติในการเพิ่มความไวของอินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและช่วยป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง นอกจากนี้ยังช่วยลดภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท 4) เนื่องจาก ALA สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน จึงสามารถช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารพิษโลหะหนักที่อาจสะสมในเนื้อเยื่อ เช่น ตะกั่วและปรอท ซึ่งการล้างพิษนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังได้อีกด้วย 5) ALA เป็นสารที่ช่วยในการเปลี่ยนกลูโคสเป็นพลังงาน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานในไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ทำให้เซลล์ได้รับพลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพส่งผลให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและลดความเหนื่อยล้า
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/alpha-lipoic-acid
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-767/alpha-lipoic-acid
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/10872222/
Black Sesame Extract หรือ สารสกัดจากงาดำ ได้มาจากเมล็ดงาดำที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและอุดมไปด้วยสารสำคัญ เช่น แคลเซียม (Calcium), แมกนีเซียม (Magnesium), วิตามินบี (Vitamin B), สารลิกแนน (Lignans) และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ สารสกัดจากงาดำเป็นที่รู้จักในเรื่องการบำรุงสุขภาพกระดูก ลดการอักเสบ และบำรุงสุขภาพผิว ประโยชน์ของสารสกัดจากงาดำที่มีต่อร่างกาย คือ 1) งาดำอุดมไปด้วยแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน ลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ 2) สารลิกแนน และ วิตามินบีที่พบในงาดำช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและป้องกันการเกิดริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยบำรุงสุขภาพเส้นผม ลดการหลุดร่วงและทำให้เส้นผมแข็งแรงเงางาม 3) สารต้านอนุมูลอิสระในงาดำ เช่น สารเซซามิน (Sesamin) ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์และโรคเรื้อรังหลายประเภท 4) แร่ธาตุและวิตามินในงาดำ เช่น วิตามินบีและแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรคได้ดียิ่งขึ้น 5) สารลิกแนนในงาดำช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ในเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Pine Bark Extract หรือ สารสกัดจากเปลือกสน เป็นสารที่สกัดมาจากเปลือกของต้นสน ซึ่งมีสารสำคัญที่เรียกว่า โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Proanthocyanidins) และ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก หนึ่งในสารสกัดที่มีชื่อเสียงจากสารสกัดจากเปลือกสนคือ Enzogenol ซึ่งมีผลอย่างมากในการป้องกันและชะลอความชราของเซลล์ โดย Enzogenol เป็นสารที่มีความเข้มข้นสูงของโพลีฟีนอล ซึ่งช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของเซลล์ ประโยชน์ของ สารสกัดจากเปลือกสนคือ 1) สารโปรแอนโธไซยานิดินส์ (Proanthocyanidins) ในเปลือกสน อาจช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นของหลอดเลือดและลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ 2) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ในเปลือกสนมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและเสริมสร้างการป้องกันร่างกายจากโรคต่าง ๆ 3) สารต้านการอักเสบใน Pine Bark Extract อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการอักเสบเรื้อรังหรือโรคข้ออักเสบ ช่วยลดอาการบวมและความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4) นอกจากนี้ สารโปรแอนโธไซยานิดินส์ (Proanthocyanidins) และ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ในเปลือกสนยังมีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ซึ่งทำให้ผิวแข็งแรง ชะลอการเกิดริ้วรอยและปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและสดใสขึ้น 5) อาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยสารสกัดจากเปลือกสนอาจช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ทำให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและช่วยลดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 6) Enzogenol ที่พบในสารสกดัจากเปลือกสน มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น แสงแดด มลภาวะ และ ความเครียด ดังนั้นการลดอนุมูลอิสระอาจช่วยลดการอักเสบและความเสียหายต่อเซลล์ซึ่งอาจช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ทำให้ดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีขึ้น อีกทั้ง Enzogenol ยังช่วยป้องกันการสั้นลงของ Telomere ซึ่งเป็นส่วนปลายของโครโมโซมที่ทำหน้าที่ปกป้องดีเอ็นเอจากอักเสบและความเสียหายด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/pine-bark-extract-benefits
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-1019/pine-bark
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/11130515/
Maqui Berry Extract หรือ สารสกัดจากผลมากีเบอร์รี เป็นสารสกัดจากผลไม้ที่พบในพื้นที่ป่าของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศชิลีและอาร์เจนตินา มากีเบอร์รีถือเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจากมีระดับ แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) สูง การศึกษาหลายงานวิจัยแสดงให้เห็นว่ามากีเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้อื่น ๆ หลายชนิด เช่น บลูเบอร์รี่ อาซาอิเบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ โดยความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของมากีเบอร์รีนี้สามารถวัดได้จากค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ซึ่งเป็นวิธีการวัดประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระของอาหาร ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงนี้ มากีเบอร์รีจึงมีคุณสมบัติเด่นในการช่วยป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ และส่งเสริมสุขภาพของเซลล์ ประโยชน์ของ มากีเบอร์รี ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ผลมากีเบอร์รี อุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายของอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 2) สารแอนโทไซยานินในผลมากีเบอร์รีมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการบวมและปวดในร่างกาย ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคข้ออักเสบ 3) สารสกัดจากผลมากีเบอร์รีมีประโยชน์ต่อสุขภาพตาเป็นอย่างมากเนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงช่วยปกป้องเซลล์ดวงตาจากการเสื่อมสภาพ และลดความเสี่ยงของโรคตาที่เกิดจากความเสื่อมตามอายุ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นต้น 4) มีงานวิจัยบางส่วนพบว่า ผลมากีเบอร์รี อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ได้โดยการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินและลดความต้านทานต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงหรือเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 5) โพลีฟีนอลใน (Polyphenols) ในผลมากีเบอร์รีอาจมีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการป้องกันเชื้อโรคและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Flaxseed Extract หรือ สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ เป็นสารสกัดที่ได้จากเมล็ดของต้นลินิน ซึ่งเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญ เช่น กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids) เส้นใยอาหาร และ ลิกแนน (Lignans) สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์นิยมใช้ในการบำรุงสุขภาพหัวใจ ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ประโยชน์ด้านต่างๆของสารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ที่มีต่อร่างกายคือ 1) สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งที่ดีของกรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะกรดอัลฟาไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid หรือ ALA) ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และช่วยลดการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง 2) เส้นใยอาหารในเมล็ดแฟลกซ์อาจช่วยเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารโดยช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้และป้องกันอาการท้องผูก ทำให้ลำไส้มีสุขภาพดี 3) ลิกแนน (Lignans) ในเมล็ดแฟลกซ์มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและชะลอการเสื่อมของเซลล์ 4) สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 5) กรดไขมันโอเมก้า-3 และ สารต้านอนุมูลอิสระในเมล็ดแฟลกซ์อาจช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ลดการอักเสบของผิว และช่วยเสริมสุขภาพเส้นผมให้แข็งแรง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Green Tea Extract หรือ สารสกัดจากชาเขียว - ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนและญี่ปุ่น มีการปลูกและดื่มก้นมาเป็นเวลาหลายพันปีในวัฒนธรรมเอเชีย ชาเขียวมีชื่อเสียงมากในเรื่องคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) โดยเฉพาะ สารคาเทชิน (Catechins) เช่น อีพิกัลโลคาเทชินแกลเลต (Epigallocatechin Gallate), หรือที่มักเรียกกันสั้นๆว่าสาร EGCG, นอกจากนี้ยังมี คาเฟอีน (Caffeine) และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) อีกด้วย ประโยชน์ด้านอื่นๆของ สารสกัดจากชาเขียว ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) สารสกัดจากชาเขียวเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เนื่องจากมีสารคาเทชิน (Catechins) ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย และช่วยลดไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง 2) EGCG (Epigallocatechin Gallate) เป็นสารที่มีคุณสมบัติสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่างๆได้ 3) คาเฟอีน (Caffeine) ในชาเขียวอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำและการทำงานของระบบประสาท และ แอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มการผ่อนคลายได้อีกด้วย 4) สารสกัดจากชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 5) สารสกัดจากชาเขียวอาจมีประโยชน์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โดยช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด 6) สารสกัดจากชาเขียวอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/green-tea
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/green-tea-extract
3. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-green-tea
4. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-green-tea-extract
5. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/269538
6. Medical News Today >> https://www.medicalnewstoday.com/articles/319260
สารสกัดจากทับทิม อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และสารพฤกษเคมี (Phytochemicals) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สารสำคัญที่พบในสารสกัดจากทับทิมประกอบไปด้วย โพลีฟีนอล (Polyphenols) เช่น พูนิคาลาจิน (Punicalagin), พูนิคิกแอซิด (Punicic acid), และ แอนโทไซยานินส์ (Anthocyanins) ซึ่งล้วนแต่มีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระอย่างสูง ประโยชน์ของสารสกัดจากทับทิมที่มีต่อร่างกาย คือ 1) มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น สาร โพลีฟีนอล สามารถปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด 2) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ โดยการช่วยลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 3) สาร พูนิคาลาจิน และ สารพฤกษเคมีอื่นๆ มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้ เช่น โรคข้ออักเสบ เป็นต้น 4) สารต้านอนุมูลอิสระในสารสกัดจากทับทิมอาจช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและปกป้องผิวจากการถูกทำลายโดยรังสี UV ซึ่งช่วยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น 5) วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆในทับทิมอาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/12-proven-benefits-of-pomegranate
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-pomegranate-juice
Rice Extract หรือ สารสกัดจากข้าว เป็นสารสกัดที่ได้มาจากเมล็ดข้าว โดยเฉพาะข้าวกล้องและจมูกข้าว สารสกัดนี้ประกอบไปด้วยสารสำคัญหลากหลายชนิด เช่น วิตามิน อี (Vitamin E) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กรดเฟรูลิก (Ferulic Acid) ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ และ เซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับผิวและรักษาความชุ่มชื้น ดังนั้น Rice Extract จึงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ประโยชน์ของ Rice Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Vitamin E และ Ferulic Acid ที่มีอยู่ในสารสกัดจากข้าว ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง และชะลอความเสื่อมของเซลล์ 2) ด้วยกรดไขมันจำเป็น และ Ceramide ที่พบในสารสกัดจากข้าว ช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดย Ceramide ทำหน้าที่สร้างเกราะป้องกันผิวและช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้านและให้ผิวมีความยืดหยุ่น 3. กรดเฟรูลิก และ Ceramide ในสารสกัดจากข้าว มีคุณสมบัติลดการอักเสบและบรรเทาการระคายเคือง ทำให้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ช่วยป้องกันการเกิดสิวและบำรุงผิวให้แข็งแรง 4) สารสกัดจากข้าว มีวิตามินกลุ่ม B ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท ส่งเสริมการทำงานของสมองและเสริมสร้างพลังงานในเซลล์ประสาท 5) Ceramide ช่วยให้ผิวรักษาความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น โดยสร้างเกราะป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งและต้องการความชุ่มชื้นยาวนาน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. WebMD >> https://www.webmd.com
2. Healthline >> https://www.healthline.com
Melon Extract หรือ สารสกัดจากผลเมล่อน มีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะสาร Superoxide Dismutase (SOD) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ โดย SOD จะทำหน้าที่เปลี่ยนอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายให้กลายเป็นสารที่ปลอดภัยเพื่อปกป้องเซลล์จากความเสียหาย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและสารประกอบทางชีวภาพอื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนี้ 1) SOD ที่พบในเมล่อนเป็นเอนไซม์ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุมูลอิสระ ที่อาจช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็งและโรคหัวใจ 2) อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของร่างกาย 3) อาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น 4) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพของผิวจากการทำลายของรังสี UV และ อาจช่วยลดริ้วรอยทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น 5) การต้านอนุมูลอิสระของ SOD ช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ซึ่งอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้.
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. Healthline >> https://www.healthline.com
เราเข้าใจดีว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อต้องการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ เลอ มิกเซ่ เลอ มอร์ เราให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกค้าของเราทุกท่านเหนือสิ่งอื่นใด และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงภูมิใจมากที่จะยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางวัน ของเราได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด และได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยท่านสามารถตรวจสอบหมายเลข อย. ของเรา (12-1-05161-5-0152) บน Thai FDA Product Search Portal เพื่อความมั่นใจเพิ่มเติม
ผลิตภัณฑ์ของเราได้ผ่านการตรวจสอบและประเมินผลอย่างเข้มงวดโดย อย. เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การรับรองนี้ยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางวัน ที่ท่านกำลังพิจารณาอยู่นี้:
- ปลอดภัยต่อการบริโภค: ส่วนผสมทุกชนิดในสูตรได้รับการทดสอบและรับรองการใช้งานอย่างเหมาะสม
- ฉลากระบุอย่างถูกต้อง: ข้อมูลผลิตภัณฑ์ คุณค่าทางโภชนาการ และประโยชน์ต่อสุขภาพ ถูกแสดงไว้อย่างโปร่งใส เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังบริโภคอะไร
- ผลิตด้วยมาตรฐานคุณภาพ: กระบวนการผลิตปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ GMP (Good Manufacturing Practices) เพื่อรักษามาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยสูงสุด
การทดสอบความปลอดภัยเพิ่มเติมจากห้องปฏิบัติการอิสระ
เพื่อให้ท่านมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางวันนี้ เราได้จัดส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบเพิ่มเติมกับห้องปฏิบัติการอิสระที่ได้รับการรับรอง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิตโดยตรง การทดสอบเหล่านี้ครอบคลุมการตรวจสอบหลายด้านเช่น การตรวจสอบโลหะหนัก สารพิษ รวมถึงการปนเปื้อนทางจุลชีววิทยาอีกด้วย รายละเอียดผลการทดสอบที่สำคัญต่างๆมีดังนี้:
การทดสอบโลหะหนัก:
- สารหนูทั้งหมด: ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 2 mg/kg)
- สารตะกั่ว: ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 1 mg/kg)
- สารปรอท: ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 0.5 mg/kg)
- แคดเมียม: ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 0.3 mg/kg)
การทดสอบอะฟลาทอกซิน:
- อะฟลาทอกซินรวม (B1, B2, G1, G2): ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 20 µg/kg)
การทดสอบจุลินทรีย์:
- อีโคไล (Escherichia coli): < 3 MPN/g (ในมาตรฐาน: ตรวจไม่พบ)
- สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus): ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน: 0.1 กรัม)
- ซัลโมเนลลา (Salmonella spp.): ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน: 25 กรัม)
- คลอสตริเดียม (Clostridium spp.): ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน: 0.1 กรัม)
ผลการทดสอบเหล่านี้ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของเราเป็นไปตามหรือสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัยทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยและเหมาะสำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวัน
ทำไมต้องเลือก Le Mixé Le More?
นอกจากได้รับการรับรองจาก อย. และผ่านการทดสอบจากห้องปฏิบัติการอิสระแล้ว ผลิตภัณฑ์ของเรายังโดดเด่นด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม และสูตรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการสุขภาพของท่านในแต่ละวัน คุณสมบัติเด่นที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราแตกต่าง ได้แก่:
1. วัตถุดิบจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้: วัตถุดิบทุกชนิดถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันจากซัพพลายเออร์ที่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและคุณภาพสูง
2. ได้รับการรับรองที่เชื่อถือได้: ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการรับรองด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ทุกคน
สุขภาพของท่านคือความมุ่งมั่นของเรา
เมื่อท่านเลือกดื่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางวัน ท่านกำลังเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรังสรรค์ด้วยความใส่ใจอย่างพิถีพิถันและความมุ่งมั่นในความปลอดภัย ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมือใหม่หรือมีประสบการณ์มานานแล้วก็ตาม ท่านสามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพที่ช่วยตอบโจทย์สุขภาพหลากหลายด้าน แต่ยังปลอดภัยสำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
เราพร้อมมอบโซลูชันเพื่อสุขภาพที่ทุกท่านไว้วางใจและเลือกซื้อโดยไม่ต้องลังเล หากท่านมีข้อกังวลหรือมีคำถามเพิ่มเติม ทีมให้บริการลูกค้าของเรายินดีให้ความช่วยเหลือเสมอ
ลงทุนในสุขภาพของคุณอย่างมั่นใจให้เลือก Le Mixé Le More!
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางคืน
เราได้คัดสรรอย่างตั้งใจในการผสมสารสำคัญหลายชนิดที่ทำงานร่วมกันในการช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองอย่างเป็นธรรมชาติในการผลิตสารสื่อประสาทและการหลั่งฮอร์โมนที่จำเป็นในการช่วยเพิ่มคุณภาพในการนอนหลับให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้
สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ (Chamomile Extract) ได้มาจากดอกของพืชในตระกูล Asteraceae ดอกคาโมมายล์อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น กลุ่มฟลาโวนอยด์ (Apigenin และ Auercetin), กลุ่มคูมารินส์ (Herniarin และ Umbelliferone) และ น้ำมันหอมระเหย (Alpha-bisabolol และ Chamazulene) ประโยชน์ของสารสกัดจากดอกคาโมมายล์ที่มีผลต่อร่างกายคือ 1) ช่วยให้ผ่อนคลายและส่งเสริมการนอนหลับ โดยสาร Apigenin ในดอกคาโมมายล์มีฤทธิ์เชื่อมต่อกับตัวรับเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) ในสมองที่ช่วยลดความวิตกกังวลและส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น 2) สาร Alpha-bisabolol และ Chamazulene มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการระคายเคืองและอักเสบของผิวหนังได้ 3) ต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเซลล์ โดยสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น Quercetin และ Apigenin มีฤทธิ์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและชะลอการเสื่อมของเซลล์ 4) สารสกัดจากดอกคาโมมายล์มีฤทธิ์ในการต้านการเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งในระบบทางเดินอาหาร และ ลดอาการปวดประจำเดือนได้ 5) สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ยังมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อจุลชีพ ซึ่งช่วยลดการอักเสบในช่องปากและลำคอและช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Faculty of Pharmacy, Mahidol University >> https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service-knowledge-article.php
L-Theanine เป็นกรดอะมิโนที่พบได้ในชาเขียวและเห็ดบางชนิด มีคุณสมบัติที่ช่วยส่งเสริมการผ่อนคลาย โดยไม่ทำให้เกิดอาการง่วงนอน และ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆด้านดัวยกัน เช่น ช่วยลดความเครียด เพิ่มสมาธิ และ ช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ โดย L-Theanine จะทำงานโดยการเพิ่มสารเคมีในสมอง เช่น โดปามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับสมดุลอารมณ์และลดความเครียด รายละเอียดเกี่ยวกับประโยชน์ของ L-Theanine ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล - L-Theanine ช่วยเพิ่มการผลิตสาร Serotonin และ Dopamine ซึ่งช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและลดความรู้สึกกังวลลง ดังนั้นการบริโภค L-Theanine จึงช่วยให้ร่างกายรู้สึกสงบแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด 2) L-Theanine ช่วยส่งเสริมการผลิตคลื่นอัลฟา (Alpha Waves) ในสมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผ่อนคลายและความคิดที่ชัดเจน ทำให้มีสมาธิมากขึ้น และสามารถจดจ่อกับงานที่ทำได้ดีขึ้นโดยไม่ง่วงนอน 3) ด้วยคุณสมบัติด้านการผ่อนคลายของ L-Theanine ทำให้ช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในการนอนลงและส่งเสริมการนอนหลับที่ลึกและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นจึงทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อตื่นนอน 4) นอกจากนี้ L-Theanine ยังอาจช่วยเพิ่มการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เช่น การเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ 5) การใช้ L-Theanine อาจช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/l-theanine
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins-and-supplements/theanine-uses
Pharmagaba หรือ Gamma-Aminobutyric Acid เป็นสารสื่อประสาทที่ผลิตขึ้นในสมองและมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความเครียดและอารมณ์ โดย Pharmagaba ทำหน้าที่เป็นสารยับยั้งในระบบประสาทกลาง ซึ่งช่วยลดการกระตุ้นและความตื่นตัวทำให้ร่างกายสามารถผ่อนคลายได้ง่ายขึ้น Pharmagaba เป็นรูปแบบของ GABA ที่ได้จากกระบวนการหมักและมีประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ทำให้เป็นที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและปรับสมดุลทางจิตใจ ประโยชน์ของ Pharmagaba ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Pharmagaba มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการทำงานของเซลล์ประสาทที่ทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล ด้วยการเพิ่มระดับ GABA ในสมอง ความวิตกกังวลและอาการตื่นเต้นจะลดลง ส่งผลให้จิตใจสงบและผ่อนคลายมากขึ้น 2) ส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ - GABA มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดการกระตุ้นสมอง ทำให้เข้าสู่ภาวะการนอนหลับได้เร็วขึ้น และช่วยปรับคุณภาพของการนอนหลับให้ลึกและต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนหลับยากหรือการนอนหลับที่ไม่ต่อเนื่อง 3) การที่ GABA ช่วยลดความตื่นเต้นของเซลล์ประสาท ทำให้สมองมีสภาวะที่สงบและมีสมาธิที่ดีขึ้นนั้น การทำงานของระบบประสาทที่สงบขึ้นจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำและการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นด้วย 4) ช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้า - GABA ที่มีระดับเพียงพอในสมองจะช่วยเสริมสร้างสมดุลของสารเคมีในสมอง ทำให้ลดความเสี่ยงของอาการซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ Pharmagaba ยังช่วยปรับสมดุลของอารมณ์และทำให้รู้สึกมีความสุขและสงบใจมากขึ้น 5) เนื่องจาก GABA มีคุณสมบัติในการลดความเครียดและช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้ จึงสามารถช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตได้ด้วย เนื่องจากการที่ร่างกายและจิตใจอยู่ในภาวะสงบจะช่วยลดระดับความดันโลหิตในร่างกายได้อัตโนมัติ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
3. Verywell Mind >> https://www.verywellmind.com
Lemon Balm Extract หรือ สารสกัดจากใบของพืชเลมอนบาล์ม (Melissa Officinalis) ซึ่งเป็นสมุนไพรในตระกูลมิ้นต์ โดยมีการใช้ในแพทย์แผนโบราณมานานหลายศตวรรษ สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายชนิดด้วยกันคือ 1) สารโรสมารินิกแอซิด (Rosmarinic Acid) ในสารสกัดเลมอนบาล์มมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการทำลายของสารสื่อประสาท GABA ในสมองส่งผลให้ระดับ GABA เพิ่มมากขึ้นและช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล 2) ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทนี้ สารสกัดเลมอนบาล์มจึงช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ลดอาการนอนไม่หลับ และทำให้นอนหลับได้ลึกยิ่งขึ้น 3) สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ใน Lemon Balm ยังมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ 4) Lemon Balm มีคุณสมบัติช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปรับปรุงการย่อยอาหารได้โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร 5) การบริโภคเลมอนบาล์มอาจช่วยปรับปรุงความจำและการทำงานของสมองได้ โดยการเพิ่มระดับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. GeneusDNA >> https://www.geneusdna.com
2. HDmall >> https://hdmall.co.th/blog/health/lemon-balm
3. Hello Khunmor >> https://hellokhunmor.com
4. Gourmet & Cuisine >> https://www.gourmetandcuisine.com/stories/detail/1798
5. The Naturalist >> https://www.thenaturalist.co.th/product/25972-40654/lemonbalmextract
Saffron Extract หรือ สารสกัดจากหญ้าฝรั่น ได้มาจากเกสรของดอก Crocus Sativus ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงและมีการใช้มาอย่างยาวนานในด้านการแพทย์แผนโบราณ สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบสำคัญ เช่น โครซิน (Crocin), ซาฟรานอล (Safranal) และ โครเซติน (Crocetin) ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลายด้านด้วยกันคือ 1) ปรับสมดุลฮอร์โมนและบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome) หรือ PMS เนื่องจากสารสกัดจากหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย การศึกษาพบว่าการรับประทานหญ้าฝรั่นขั้นต่ำ 30 มก. ต่อวัน อาจสามารถช่วยลดอาการ PMS เช่น อารมณ์แปรปรวนและความเหนื่อยล้าได้ 2) สารโครซิน (Crocin) และ สารซาฟรานอล (Safranal) ในหญ้าฝรั่นมีผลในการเพิ่มระดับเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมอง ซึ่งอาจช่วยลดอาการซึมเศร้าและปรับปรุงอารมณ์ โดยมีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าหญ้าฝรั่นอาจช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าเล็กน้อยถึงปานกลางได้ 3) Crocin และ Crocetin ในหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ดวงตาจากความเสียหาย การศึกษาบางชิ้นระบุว่าหญ้าฝรั่นอาจช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ 4) สารสกัดจากหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติในการระงับความอยากอาหาร การทดลองพบว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน ที่บริโภคหญ้าฝรั่นจะรู้สึกอิ่มและกินของว่างน้อยลงซึ่งอาจมีผลในการช่วยลดน้ำหนักได้ 5) สาร Safranal มีผลในการช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของดวงตาที่ไม่เร็ว (non-REM) ในการนอนหลับ ซึ่งอาจช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้นได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Rainbow Biotech >> https://www.rainbowextract.com/th/saffron-extract-benefits-and-side-effects/
2. Hello Khunmor >> https://hellokhunmor.com
Jujube Extract หรือ สารสกัดจากผลพุทราจีน (Ziziphus Jujuba) ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีการใช้ในแพทย์แผนจีนมานานนับพันปี สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายชนิดด้วยกันคือ 1) Jujube Extract มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อได้ 2) สารสกัดจากพุทราจีนมีสารทริปโตฟาน (Tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญที่ร่างกายใช้ในการสร้างสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ เมลาโทนิน (Melatonin) โดยที่ Tryptophan เป็นสารตั้งต้นของ Melatonin ซึ่งช่วยควบคุมวงจรการนอนหลับและตื่น ทำให้การนอนหลับมีคุณภาพดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ Tryptophan ยังอาจช่วยเพิ่มการผลิต Serotonin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปรับอารมณ์ ลดความวิตกกังวล และส่งเสริมสุขภาพจิตได้และถึงแม้ว่าในพุทราจีนจะมี Tryptophan อยู่ในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อบริโภคร่วมกันกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ก็สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้ดียิ่งขึ้น 3) สารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) ใน Jujube Extract มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ที่อาจช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆได้ 4) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้ - สารซาโปนิน (Saponin) ใน Jujube Extract อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 5) ไฟเบอร์ใน Jujube Extract อาจช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารที่ดี ลดอาการท้องผูก และสนับสนุนสุขภาพลำไส้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. NCBI >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/29934711/
2. ScienceDirect >> https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0889157516303611
3. Health.com >> https://www.health.com/jujube-benefits-8711258
4. The Botanical Institute >> https://botanicalinstitute.org/jujube/
5. MDPI >> https://www.mdpi.com/2079-9284/11/5/181
6. Journal of Zhejiang University-SCIENCE B >> https://link.springer.com/article/10.1631/jzus.B2000594
7. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com/jujube-8734898
Reishi Mushroom Extract คือ สารสกัดจากเห็ดหลินจือซึ่งเป็นเห็ดที่มีประวัติการใช้ในทางการแพทย์มาหลายพันปี โดยเฉพาะในประเทศจีนและญี่ปุ่น เห็ดหลินจือมีสารสำคัญหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ไตรเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids), โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) และ สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ สารสกัดจากเห็ดหลินจือมักใช้ในอาหารเสริมเพื่อส่งเสริมสุขภาพและสนับสนุนการทำงานของร่างกายหลายด้านด้วยกัน คือ 1) โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) ในเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยการช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายสามารถป้องกันการติดเชื้อและโรคต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) สารไตรเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) ในเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ โดยการยับยั้งการผลิตสารที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เช่น สาร ไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ หากมีการผลิตมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและมีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โรคข้ออักเสบ หรือ โรคหัวใจ 3) สารประกอบใน Reishi Mushroom Extract มีฤทธิ์ช่วยในการปรับสมดุลของระบบประสาท ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ลดความเครียด และ ช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่ดีได้ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับหรือต้องการเสริมความสมดุลของร่างกาย 4) สารต้านอนุมูลอิสระใน Reishi Mushroom Extract ช่วยลดการเกิดออกซิเดชันในหลอดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ Triterpenoids ยังช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้อีกด้วย 5) สาร Polysaccharides ใน Reishi Mushroom Extract มีคุณสมบัติช่วยในการฟื้นฟูการทำงานของตับและปกป้องเซลล์ตับจากสารพิษ ช่วยให้ตับทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> www.healthline.com
2. Medical News Today >> www.medicalnewstoday.com
Zinc Amino Acid Chelate (20%) เป็นรูปแบบของสังกะสีที่ถูกจับคู่กับกรดอะมิโน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย การจับคู่กับกรดอะมิโนนี้ช่วยให้สังกะสีถูกดูดซึมได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสังกะสีในรูปแบบอื่นฟ ประโยชน์ของ Zinc Amino Acid Chelate ที่มีผลต่อร่างกายคือ 1) Zinc มีบทบาทสำคัญในการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายให้ดียิ่งขึ้น 2) ส่งเสริมการรักษาบาดแผลด้วยการสังเคราะห์โปรตีนและการแบ่งเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาบาดแผลและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ 3) Zinc เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทในการย่อยอาหาร การสังเคราะห์โปรตีน และ การทำงานของระบบประสาท 4) Zinc มีบทบาทในการรักษาสุขภาพผิว ลดการอักเสบ และช่วยในการรักษาสิวได้ด้วย 5) นอกจากนี้ เมิ่อรับประทาน Zinc ร่วมกับ Magnesium อาจมีผลในการช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ มีการศึกษาพบว่าการเสริม Zinc และ Magnesium ร่วมกันจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับและลดการตื่นกลางดึกได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/health/chelated-zinc
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/chelated-minerals
3. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/zma
Magnesium Amino Acid Chelate (20%) คือ สารประกอบของแมกนีเซียมที่จับคู่กับกรดอะมิโนเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมแมกนีเซียมได้ง่ายขึ้น การจับตัวกับกรดอะมิโนทำให้เกิดรูปแบบที่ร่างกายดูดซึมได้ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการเสริมแมกนีเซียมในปริมาณสูง สารนี้มักจะพบในอาหารเสริมเพื่อสนับสนุนระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมถึงการเสริมสร้างการนอนหลับและการผ่อนคลายของร่างกายอีกด้วย ประโยชน์ของ Magnesium Amino Acid Chelate ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง โดยแมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารของเซลล์ประสาทและการทำงานของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของความผิดปกติในระบบประสาทและช่วยป้องกันอาการตึงเครียดและซึมเศร้า 2) ช่วยบรรเทาอาการตะคริวและการเกร็งของกล้ามเนื้อ - การได้รับแมกนีเซียมอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ Magnesium Amino Acid Chelate ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแมกนีเซียมได้ดีกว่ารูปแบบอื่นๆทำให้สามารถลดอาการตะคริวและการเกร็งของกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้นได้ เนื่องจากแมกนีเซียมมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการผลิตเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมวงจรการนอนหลับของร่างกาย ช่วยให้การนอนหลับนั้นลึกและยาวนานขึ้น ส่งเสริมให้รู้สึกผ่อนคลายและลดความเครียดลง ทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น 4) แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กระดูกแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน การใช้ Magnesium Amino Acid Chelate จะช่วยเพิ่มการดูดซึมแมกนีเซียมเข้าสู่กระดูกอย่างมีประสิทธิภาพ 5) แมกนีเซียมอาจช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจและการผ่อนคลายของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> www.healthline.com
2. Medical News Today >> www.medicalnewstoday.com
Rosemary Extract คือ สารสกัดจากใบของพืชโรสแมรี่ ซึ่งมีสารสำคัญอยู่หลายชนิด เช่น กรดโรสมารินิก (Rosmarinic Acid), คาร์โนซอล (Carnosol), และ สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะในด้านการผ่อนคลาย ลดการอักเสบ และ ส่งเสริมการนอนหลับเป็นต้น ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของ Rosemary Extract ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์ - สารสกัดโรสแมรี่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง กรดโรสมารินิก (Rosmarinic Acid) และสาร คาร์โนซอล (Carnosol) ที่ช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย การใช้สารสกัดนี้อาจช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังและความเสื่อมของร่างกายได้ 2) สารบางชนิดใน Rosemary Extract เช่น กรดโรสมารินิกอาจช่วยกระตุ้นระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการผ่อนคลาย จึงมีผลต่อการลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและลดความวิตกกังวล ทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลายมากขึ้น 3) ส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ - ด้วยคุณสมบัติในการผ่อนคลายของ Rosemary Extract ทำให้ช่วยในการลดความเครียดที่เป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังอาจช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบ จึงช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่ลึกและมีคุณภาพมากขึ้น 4) สารต้านอนุมูลอิสระใน Rosemary Extract อาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต้านทานเชื้อโรคและการติดเชื้อได้ดีขึ้นอีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/rosemary-benefits
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-rosemary
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนของเราประกอบด้วยสารสำคัญหลายชนิดที่อาจช่วยส่งเสริมกระบวนการดีท็อกซ์ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย สนับสนุนการทำงานของระบบย่อยอาหาร และส่งเสริมการขับถ่าย โดยรายละเอียดของสารสำคัญบางตัวมีดังนี้:
Fructooligosaccharide (FOS) Powder เป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทหนึ่งที่เกิดจากการเชื่อมโยงกันของโมเลกุลฟรุกโตสหลายๆโมเลกุล ซึ่งถือว่าเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ ทำให้ FOS เป็นอาหารชั้นดีสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ ซึ่งช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ให้แข็งแรง ประโยชน์ของ FOS ที่มีต่อร่างกายคือ 1) FOS เป็น Prebiotics ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ในลำไส้ เป็นอาหารที่ดีสำหรับจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยเฉพาะจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เช่น Lactobacillus และ Bifidobacterium ซึ่งช่วยลดปัญหาลำไส้แปรปรวน ลดการอักเสบ และส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารโดยรวม 2) การเสริมสร้างจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วย FOS อาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นได้เพราะจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ 3) การบริโภค FOS สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมันไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น 4) FOS ช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลในลำไส้ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 5) เนื่องจาก FOS เป็นไฟเบอร์ที่ไม่ถูกย่อย จึงช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นและลดความอยากอาหาร ทำให้ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Galacto-Oligosaccharides (GOS) Powder เป็นสารประกอบที่เกิดจากโมเลกุลของน้ำตาลแลคโตสในนมที่ถูกย่อยสลาย ซึ่งทำหน้าที่เป็นไฟเบอร์พรีไบโอติก (Prebiotic Fiber) ที่ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหารและเป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ โดย GOS มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ประโยชน์ของ GOS ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) GOS เป็น Prebiotics ที่ทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ในลำไส้ เป็นแหล่งอาหารที่เหมาะสำหรับจุลินทรีย์ที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งจุลินทรีย์ชนิด Bifidobacteria และ Lactobacilli ซึ่งช่วยลดการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับลำไส้ เช่น ท้องเสียและลำไส้แปรปรวน นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาท้องผูกและการอักเสบในระบบย่อยอาหาร 2) การบริโภค GOS อาจช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งช่วยเพิ่มการผลิตเซลล์ภูมิต้านทานและสารภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 3) GOS มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ และ ลดจำนวนแบคทีเรียที่เป็นอันตรายลง ซึ่งช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและลดปัญหาทางเดินอาหาร 4) มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่า GOS ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและแมกนีเซียมได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของกระดูกและฟัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยเด็กและวัยสูงอายุ 5) เนื่องจาก GOS มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการลดโอกาสของการเกิดอาการภูมิแพ้และการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ต่างๆ 6) GOS มีโครงสร้างคล้ายกับ โอลิโกแซ็กคาไรด์ในน้ำนมมนุษย์ (Human Milk Oligosaccharides) หรือ HMOs ซึ่งพบในน้ำนมแม่ โดยที่ HMOs เป็นสารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพทางเดินอาหารของทารก การเสริม GOS ในสูตรนมสำหรับทารกจึงเป็นการเลียนแบบประโยชน์ของน้ำนมแม่ ทำให้ทารกที่ไม่ได้รับน้ำนมแม่ยังคงได้รับประโยชน์จากพรีไบโอติกส์
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Xylo-Oligosaccharides (XOS) Powder เป็นพรีไบโอติกชนิดหนึ่งที่ได้จากการย่อยสลายเส้นใยของพืชต่างๆ เช่น ข้าวโพด ไผ่ หรือ เบิร์ช XOS เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างโมเลกุลสั้น ทำให้ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหารแต่จะถูกใช้เป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกัน ประโยชน์ของ XOS ที่มีต่อร่างกายคือ 1) XOS เป็น Prebiotics และเป็นแหล่งอาหารที่ยอดเยี่ยมสำหรับจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ เช่น Bifidobacteria และ Lactobacilli ซึ่งช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่เป็นอันตราย ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารและลดปัญหาลำไส้แปรปรวน 2) การบริโภค XOS อาจช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อและเพิ่มความสามารถในการต้านทานโรค 3) มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า XOS สามารถช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยช่วยปรับสมดุลของการตอบสนองต่ออินซูลิน ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน 4) XOS อาจช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุสำคัญ เช่น แคลเซียม และ แมกนีเซียม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง 5) เนื่องจาก XOS เป็นไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ ทำให้ช่วยเพิ่มปริมาณของอุจจาระและกระตุ้นการขับถ่ายอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยลดปัญหาท้องผูกในผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหาร
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Inulin เป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ซึ่งสามารถพบได้ในพืชหลายชนิด เช่น หัวชิโครี่ กระเทียม และ หัวหอม ซึ่ง Inulin ไม่สามารถถูกย่อยในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ได้ แต่จะผ่านไปยังลำไส้ใหญ่และทำหน้าที่เป็นอาหารชั้นดีสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ โดย Inulin ช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้และมีประโยชน์หลากหลายต่อร่างกาย ประโยชน์ของ Inulin ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Inulin เป็น Prebiotics ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ เช่น Bifidobacteria และ Lactobacilli ซึ่งช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ ลดอาการท้องผูกและการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2) Inulin ช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหาร เนื่องจาก Inulin เป็นไฟเบอร์ที่ไม่ถูกย่อย ทำให้ช่วยลดการบริโภคแคลอรี่และสนับสนุนการควบคุมน้ำหนักได้ดี 3) การบริโภค Inulin สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยช่วยชะลอการดูดซึมกลูโคส ซึ่งช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลและลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน 4) Inulin อาจช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น แคลเซียม และ แมกนีเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง โดยเฉพาะในวัยเด็กและผู้สูงอายุ 5) มีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า Inulin สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Bacillus Coagulans เป็นแบคทีเรียโปรไบโอติก (Probiotic) ชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสร้างสปอร์ที่แข็งแรง ซึ่งทำให้ทนต่อกรดในกระเพาะอาหารและทนต่ออุณหภูมิสูงได้ โดยต่างจากโปรไบโอติกชนิดอื่นๆที่มักถูกทำลายได้ง่าย โดยที่ Bacillus Coagulans สามารถเดินทางไปถึงลำไส้ใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้มีประโยชน์ต่อสุขภาพทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน ประโยชน์ของ Bacillus Coagulans ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Bacillus Coagulans สามารถเจริญเติบโตได้ดีในลำไส้ใหญ่และช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์โดยการผลิตกรดแลคติก (Lactic Acid) ที่ช่วยปรับค่า pH ในลำไส้ ซึ่งทำให้การเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นอันตรายลดลงและเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ จึงช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องผูก และการอักเสบในลำไส้ 2) Bacillus Coagulans ช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ แบคทีเรียชนิดนี้สามารถสร้างกรดแลคติกที่ช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกัน 3) ช่วยลดอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) - การรับประทาน Bacillus Coagulans อาจช่วยลดอาการลำไส้แปรปรวนได้ เช่น ท้องอืด ท้องเสีย และ อาการไม่สบายในระบบย่อยอาหาร โดยช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ และลดการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นในลำไส้ 4) Bacillus Coagulans มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบโดยการผลิตกรดไขมันสั้น (Short-Chain Fatty Acids) หรือ SCFAs เช่น บิวทิเรต (Butyrate) ซึ่งช่วยลดการอักเสบในลำไส้และระบบอื่นๆในร่างกาย การลดการอักเสบนี้มีความสำคัญในการป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและโรคข้ออักเสบ 5) การเสริม Bacillus Coagulans อาจช่วยสนับสนุนสุขภาพจิต เนื่องจากระบบลำไส้มีความสัมพันธ์กับสมองและอารมณ์ การปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้สามารถช่วยลดความเครียดและปรับปรุงสุขภาพจิตในระยะยาวได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Prune Powder หรือ ผงลูกพรุน เป็นผงที่ทำมาจากการอบแห้งและบดลูกพรุนซึ่งลูกพรุนมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายชนิด เช่น ไฟเบอร์, Vitamin K, Potassium และ สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ การบริโภค ผงลูกพรุน จึงช่วยส่งเสริมสุขภาพในหลายๆด้าน และ เหมาะสำหรับการใช้ในอาหารและเครื่องดื่มเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์ของ Prune Powder ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Prune Powder อุดมไปด้วยไฟเบอร์ทั้งชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณและความหนาของอุจจาระ ส่งผลให้การขับถ่ายเป็นปกติและลดปัญหาท้องผูก สารสำคัญในลูกพรุน เช่น ซอร์บิทอล (Sorbitol) และ สารเส้นใยชนิดพรีไบโอติก (Prebiotic) ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ได้อีกด้วย 2) ลูกพรุนมี Vitamin K และ แร่ธาตุอย่างเช่น แมงกานีส (Manganese) และ โพแทสเซียม (Potassium) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก การรับประทาน ผงลูกพรุน จึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุนและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น 3) ด้วยไฟเบอร์สูง Prune Powder จึงสามารถช่วยเพิ่มความอิ่มหลังการรับประทานอาหารได้ ทำให้ลดความอยากอาหารและช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น ไฟเบอร์ในลูกพรุนยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้พลังงานที่ได้รับจากอาหารถูกใช้อย่างสมดุล 4) โพแทสเซียม (Potassium) ในลูกพรุนมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตและสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในลูกพรุน เช่น โพลีฟีนอล (Polyphenols) ช่วยลดการอักเสบและความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ 5) Prune Powder มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามิน ซี และ โพลีฟีนอล ซึ่งช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายและป้องกันการอักเสบ การบริโภค Prune Powder จึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Ginger Extract หรือ สารสกัดขิง สกัดมาจากรากขิงซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์แผนโบราณมาอย่างยาวนาน มีสารประกอบที่สำคัญอย่าง จินเจอรอล (Gingerol) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์หลักที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และ แอนตี้ออกซิแดนท์ จึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น บรรเทาอาการปวดข้อ เสริมระบบย่อยอาหาร และ บรรเทาอาการคลื่นไส้ ประโยชน์ต่างๆของ Ginger Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Gingerol ในขิงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่สามารถช่วยลดอาการปวดและการอักเสบในผู้ที่มีปัญหาข้ออักเสบหรือข้อเข่าเสื่อม ทำให้การเคลื่อนไหวสะดวกและสบายมากยิ่งขึ้น 2) Ginger Extract ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในระบบทางเดินอาหาร จึงช่วยบรรเทาอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย และ ลดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ 3) บรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน - สาร Gingerol และ สารประกอบอื่นๆในขิงมีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการเมารถหรือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด 4) Ginger Extract มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อและอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ 5) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด - สาร Gingerol ในขิงช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยปรับปรุงความไวต่ออินซูลินซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับเบาหวาน
แหล่งข้อมูล:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/11-proven-health-benefits-of-ginger
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/ss/slideshow-health-benefits-ginger
Apple Cider Vinegar Powder เป็นผงน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล ที่ได้จากการแปรรูปน้ำส้มสายชูหมักให้อยู่ในรูปผง ซึ่งสะดวกต่อการบริโภคและการผสมในอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผงน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลนี้มีสารสำคัญ เช่น กรดอะซิติก (Acetic Acid) เอนไซม์ วิตามิน และ แร่ธาตุที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพในหลายด้าน ประโยชน์ของ Apple Cider Vinegar Powder ที่มีต่อร่างกายมคือ 1) กรดอะซิติกใน Apple Cider Vinegar Powder อาจช่วยชะลอการย่อยและการดูดซึมแป้ง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้าลง ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน 2) การบริโภค Apple Cider Vinegar Powder อาจช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหารได้ กรดอะซิติกช่วยในการเผาผลาญไขมันและลดการสะสมไขมัน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือการลดน้ำหนัก 3) Apple Cider Vinegar Powder มีเอนไซม์ และ กรดธรรมชาติที่ช่วยในการย่อยอาหารและเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร การใช้ในปริมาณที่เหมาะสมช่วยลดอาการท้องอืดและส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารโดยรวม 4) สารต้านอนุมูลอิสระ และ กรดอะซิติกใน Apple Cider Vinegar Powder ช่วยลดการอักเสบและสมดุลค่าความเป็นกรด-ด่างของผิว ทำให้ผิวพรรณเรียบเนียนและลดปัญหาสิว การบริโภคหรือใช้ภายนอกอาจช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น 5) Apple Cider Vinegar Powder มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายอีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ ทำให้การล้างพิษในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Pineapple Extract เป็นสารสกัดจากผลสับปะรดที่มีสารอาหารสำคัญหลายชนิด เช่น เอนไซม์โบรมีเลน (Bromelain) และ วิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลายด้าน โดยเฉพาะคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบและการส่งเสริมการย่อยอาหาร สารสกัดนี้ได้รับความนิยมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพและบรรเทาปัญหาสุขภาพหลายประการ ประโยชน์ของ Pineapple Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดจากโรคเก๊าต์และอาการปวดข้อได้ โดยการไปช่วยยับยั้งสารที่กระตุ้นการอักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการขับกรดยูริค (Uric Acid) ออกจากร่างกาย ทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดลดลงและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเก๊าต์ 2) เอนไซม์ Bromelain ในสับปะรดเป็นเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน ซึ่งช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้นและลดอาการท้องอืดหลังมื้ออาหาร ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารอีกด้วย 3) เอนไซม์ โบรมีเลน มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบและบวม จึงช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบต่างๆในร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บหรืออาการปวดจากโรคข้ออักเสบ การใช้ Pineapple Extract จึงช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างเป็นธรรมชาติและลดการใช้ยาแก้ปวดในบางกรณี 4) Pineapple Extract อุดมไปด้วย วิตามินซี ซึ่งช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยวิตามินซีจะช่วยกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวและทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยในช่วงที่ร่างกายเผชิญกับความเครียด 5) Pineapple Extract อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และ อาจช่วยลดความดันโลหิตได้ ซึ่งอาจมีผลในการช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระใน Pineapple Extract ยังช่วยปกป้องเซลล์หัวใจจากความเสื่อมสภาพและลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังอีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline - https://www.healthline.com
2. WebMD - https://www.webmd.com
3. Verywell Health - https://www.verywellhealth.com
เหตุผลที่รวมพรีไบโอติกหลายชนิด (FOS, GOS, XOS, Inulin) ไว้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืน มีดังนี้:
ในการสร้างสุขภาพทางเดินอาหารที่ดีที่สุด การรวมพรีไบโอติกหลากหลายชนิด ได้แก่ Fructooligosaccharides (FOS), Galactooligosaccharides (GOS), Xylooligosaccharides (XOS) และ Inulin ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรเดียวกัน จะทำให้เกิดประโยชน์ที่ครอบคลุมซึ่งเหนือกว่าการใช้พรีไบโอติกชนิดเดียว
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับพรีไบโอติกและบทบาทของพวกมันกันก่อนดีกว่า:
พรีไบโอติกเป็นเส้นใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยซึ่งทำหน้าที่เป็นอาหารให้กับแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ของเรา ใยอาหารเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้และสุขภาพทางเดินอาหารโดยรวมได้ โดยพรีไบโอติกแต่ละชนิดจะมาจากแหล่งที่มาที่แตกต่างกันและต่างมีผลต่อร่างกายที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย:
1. Fructooligosaccharides (FOS):
แหล่งที่มา: พบตามธรรมชาติในกระเทียม หัวหอม กระเทียมต้น หน่อไม้ฝรั่ง และ กล้วย
ประโยชน์: FOS กระตุ้นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ เช่น Bifidobacteria ช่วยปรับปรุงสุขภาพลำไส้และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
2. Galactooligosaccharides (GOS):
แหล่งที่มา: พบในนมแม่และในผลิตภัณฑ์ประเภทนมบางชนิด
ประโยชน์: GOS ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของ Bifidobacteria และ Lactobacilli อีกทั้วยังช่วยในการย่อยอาหารและอาจลดอาการของโรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) หรือ โรค IBS ได้
3. Xylooligosaccharides (XOS):
แหล่งที่มา: สกัดจากพืชที่มีแซนแลนสูง เช่น ซังข้าวโพด และ ไม้เบิร์ช
ประโยชน์: XOS มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้โดยใช้ปริมาณสารที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับปริมาณในการใช้พรีไบโอติกชนิดอื่นๆ ทำให้เป็นสารเสริมสุขภาพลำไส้ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยเริ่มต้นชี้ว่า XOS อาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปรับปรุงไขมันในเลือด โดยการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและการทำงานของจุลินทรีย์ในลำไส้
4. Inulin:
แหล่งที่มา: พบในรากชิกโครี แก่นตะวัน และผักใบเขียว เช่น ใบแดนดิไลออน
ประโยชน์: Inulin ทำหน้าที่เป็นอาหารสำหรับแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ช่วยเพิ่มการผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) ซึ่งสนับสนุนสุขภาพลำไส้ใหญ่ และอาจช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุได้อีกด้วย
ดังนั้นการผสมผสาน FOS, GOS, XOS และ Inulin ไว้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนนี้จะนำไปสู่การสนับสนุนสุขภาพลำไส้ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแต่ละชนิดมีความสามารถเฉพาะตัวในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดต่างๆ การผสมเหล่านี้ยังจะช่วยสนับสนุนความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการย่อยอาหารที่ดี และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/oligosaccharides
2. Doctors Health Press >> https://www.doctorshealthpress.com/best-prebiotic-foods-for-your-gut/
3. FEMS Microbiology Ecology >> https://academic.oup.com/femsec/article/99/2/fiad002/6979797
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า พรีไบโอติกส์ (Prebiotics), โพรไบโอติกส์ (Probiotics) และ ซินไบโอติกส์ (Synbiotics) ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการสุขภาพลำไส้ การเข้าใจถึงความแตกต่างและประโยชน์ของซินไบโอติกส์จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกการดูแลสุขภาพทางเดินอาหารได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คืออะไร?
พรีไบโอติกส์ เป็นเส้นใยที่ไม่ถูกย่อยซึ่งทำหน้าที่เป็นอาหารสำหรับแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ของเรา โดยการเลี้ยงแบคทีเรียที่ดีเหล่านี้ พรีไบโอติกส์จะช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งจำเป็นต่อการย่อยอาหารที่มีประสิทธิภาพและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง แหล่งที่พบพรีไบโอติกส์ทั่วไป ได้แก่ กระเทียม หัวหอม กล้วย หน่อไม้ฝรั่ง และ ธัญพืชเต็มเมล็ด ดังนั้น การบริโภคอาหารเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มการรับพรีไบโอติกส์ตามธรรมชาติได้
โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คืออะไร?
โพรไบโอติกส์ เป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ที่มีชีวิต ซึ่งเมื่อบริโภคในปริมาณที่เพียงพอจะให้ประโยชน์ด้านสุขภาพแก่ผู้บริโภค พวกมันจะช่วยเติมเต็มและรักษาประชากรของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ช่วยในการย่อยอาหารและสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โพรไบโอติกส์เหล่านี้สามารถพบได้ใน โยเกิร์ต เคเฟอร์ กะหล่ำปลีดอง กิมจิ มิโซะ และ ของหมักดองทั่วไป การบริโภคอาหารหมักดองเหล่านี้จะช่วยให้ได้รับโพรไบโอติกส์อย่างเพียงพอ
ซินไบโอติกส์ (Synbiotics) คืออะไร?
ซินไบโอติกส์ เป็นการรวมตัวกันอย่างลงตัวของพรีไบโอติกส์และโพรไบโอติกส์ ซึ่งจะช่วยทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนประกอบของพรีไบโอติกส์จะทำหน้าที่เป็นอาหารสำหรับโพรไบโอติกส์ ช่วยให้โพรไบโอติกส์สามารถเจริญเติบโตและทำงานได้ดียิ่งขึ้นในลำไส้ของเรา ดังนั้นจึงทำให้สูตรซินไบโอติกส์มีศักยภาพสูงกว่าการใช้พรีไบโอติกส์หรือโพรไบโอติกส์เพียงอย่างเดียว
ทำไมต้องเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรที่เป็นซินไบโอติกส์แทนจะมีแค่พรีไบโอติกส์หรือโพรไบโอติกส์เพียงอย่างเดียว?
การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรที่เป็นซินไบโอติกส์นั้นมีข้อได้เปรียบหลายประการเหนือการใช้พรีไบโอติกส์หรือโพรไบโอติกส์เดี่ยวๆ คือ 1) ช่วยให้โพรไบโอติกส์รอดชีวิตได้ดีกว่า: พรีไบโอติกส์ที่ผสมอยู่ในสูตรซินไบโอติกส์นั้นจะทำหน้าที่เป็นอาหารให้ก้บโพรไบโอติกส์ จึงช่วยให้พวกมันรอดพ้นจากกระบวนการย่อยอาหารและทำให้สามารถเดินทางเข้าถึงลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่สิ้นสภาพหมดไปเสียก่อน 2) เสริมสร้างประสิทธิภาพ: การทำงานร่วมกันของพรีไบโอติกส์และโพรไบโอติกส์ในสูตรซินไบโอติกส์นั้นจะช่วยเพิ่มประโยชน์ต่อสุขภาพที่หลากหลาย เช่น การย่อยอาหารที่ดีขึ้น ลดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร และ การดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายที่ดียิ่งขึ้น
จากที่กล่าวมาแล้วนั้น ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรซินไบโอติกส์เป็นตัวเลือกที่ครอบคลุมมากกว่าในการดูแลสุขภาพลำไส้และทางเดินอาหารด้วยการรวมข้อดีของพรีไบโอติกส์และโพรไบโอติกส์ไว้ด้วยกัน จึงช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมในระยะยาวได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Davinci Labs >> https://blog.davincilabs.com/blog/probiotics-vs.-prebiotics.-vs.-synbiotics-differences-and-benefits
2. Cleveland Clinic >> https://health.clevelandclinic.org/prebiotics-vs-probiotics-whats-the-difference
3. WebMD >> https://www.webmd.com/digestive-disorders/synbiotics-what-to-know
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนของเราได้ผสานส่วนผสมสำคัญหลายชนิดที่มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนไว้ในสูตร เช่น:
Dong Quai Root Extract หรือ สารสกัดจากรากตังกุย เป็นสมุนไพรที่ใช้ในแพทย์แผนจีนมายาวนานและมักถูกเรียกอีกชื่อว่า “โสมหญิง” เนื่องจากมีคุณสมบัติพิเศษในการปรับสมดุลฮอร์โมนในเพศหญิง สารสกัดจากรากตังกุยนี้อุดมไปด้วยสารสำคัญ เช่น เฟอรูลิกแอซิด (Ferulic Acid) และ คูมาริน (Coumarins) ซึ่งช่วยบำรุงสุขภาพโดยเฉพาะในด้านการปรับสมดุลฮอร์โมนและการบำรุงระบบไหลเวียนโลหิต ประโยชน์ของ Dong Quai Root Extract ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในเพศหญิง - สารสกัดจากรากตังกุยมีสาร Ferulic Acid ที่ช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะฮอร์โมน เอสโตรเจน (Estrogen) ทำให้มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น อาการวัยทอง หรือ อาการปวดประจำเดือน ทำให้ผู้หญิงรู้สึกสบายขึ้นและสมดุลมากขึ้น 2) Dong Quai Root Extract มีสาร Coumarins ที่ช่วยขยายหลอดเลือดและลดความข้นเหนียวของเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด นอกจากนี้ยังอาจช่วยลดอาการปวดเมื่อยหรืออาการชาเนื่องจากเลือดไหลเวียนได้ไม่ดี 3) Ferulic Acid ในรากตังกุยมีคุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบ ทำให้ช่วยบรรเทาอาการปวดและการอักเสบต่างๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการปวดข้อหรืออาการปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างเรื้อรัง 4) สารต้านอนุมูลอิสระในรากตังกุย เช่น เฟอรูลิกแอซิด ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์และลดเลือนริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดในชั้นผิว ทำให้ผิวดูสดใสและสุขภาพดีขึ้น 5) Dong Quai Root Extract มีคุณสมบัติช่วยลดอาการที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน เช่น ปวดท้องประจำเดือน และช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นในช่วงวัยทอง เช่น อาการร้อนวูบวาบ และ อารมณ์แปรปรวน ทำให้ผู้หญิงรู้สึกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
3. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com
Schisandra Extract หรือ สารสกัดจากผลชิแซนดร้า เป็นสมุนไพรที่ใช้ในแพทย์แผนจีนมายาวนาน มีคุณสมบัติเป็น Adaptogen ซึ่งช่วยให้ร่างกายปรับตัวและรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น สารสกัดจากผลชิแซนดร้าอุดมไปด้วยสารลิกแนนส์ (Lignans) และสารประกอบสำคัญอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพในด้านต่างๆ รวมถึงการลดระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) และ การเสริมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายด้วย รายละเอียดประโยชน์ของ Schisandra Extract ที่มีต่อร่างกายมีดังต่อไปนี้ 1) Schisandra Extract มีคุณสมบัติเป็น Adaptogen ซึ่งช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลในสถานการณ์ที่มีความเครียดสูง สาร Lignans ใน Schisandra ยังช่วยกระตุ้นระบบประสาทกลาง ทำให้ร่างกายฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าและลดอาการที่เกิดจากความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) Schisandra Extract มีส่วนช่วยในการลดระดับสาร Cortisol ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดที่สูงขึ้นเมื่อร่างกายเผชิญกับสถานการณ์เครียด การลดระดับ Cortisol ลงจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ลดความเครียดลง และ เสริมสร้างการฟื้นตัวของระบบต่างๆภายในร่างกาย ทำให้รู้สึกสงบและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้น 3) เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศชาย - Schisandra Extract มีสาร Lignans ที่ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชาย เช่น เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ทำให้มีประโยชน์ในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้พลังงานเพิ่มขึ้นและลดความอ่อนล้าที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศชายในบางช่วงอายุ 4) บำรุงสุขภาพตับ - สารต้านอนุมูลอิสระใน Schisandra Extract ช่วยป้องกันเซลล์ตับจากการถูกทำลาย และกระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์ตับใหม่ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับและอาจช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ นอกจากนี้ยังอาจช่วยให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย 5) Schisandra Extract ช่วยเพิ่มพลังงานและความทนทานของร่างกาย โดยสาร Lignans และ Adaptogen ใน Schisandra จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทกลาง ทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังงานพร้อมรับมือกับการทำกิจกรรมต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
3. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com
L-Arginine เป็นกรดอะมิโนกึ่งจำเป็นที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง แต่ในบางสภาวะ เช่น การเจ็บป่วยหรือความเครียด ร่างกายอาจต้องการปริมาณที่มากขึ้น L-Arginine มีบทบาทสำคัญในการผลิตไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ซึ่งมีหน้าที่ขยายหลอดเลือดและส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด ประโยชน์ของ L-Arginine มีรายละเอียดดังนี้ 1) L-Arginine ช่วยในการผลิต (Nitric Oxide) ซึ่งทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงและการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น มีการศึกษาพบว่าการเสริม L-Arginine สามารถช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้ 2) ปรับปรุงสมรรถภาพทางเพศ - การผลิตไนตริกออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นจาก L-Arginine อาจช่วยให้หลอดเลือดในอวัยวะเพศขยายตัว ส่งผลให้การแข็งตัวดีขึ้น ปัจจุบันมีการใช้ L-Arginine ร่วมกับยารักษาอื่น เช่น ไวอากร้า เพื่อรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ 3) L-Arginine มีบทบาทในการพัฒนาทีเซลล์ (T-cells) ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สำคัญในการตอบสนองภูมิคุ้มกัน การเสริม L-Arginine อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรคได้ 4) ส่งเสริมการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย - การเพิ่มการไหลเวียนของเลือดจาก L-Arginine จะช่วยนำพาออกซิเจนและสารอาหารไปยังกล้ามเนื้อได้มากขึ้นซึ่งส่งผลให้การฟื้นตัวหลังการออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามด้วย 5) L-Arginine ยังอาจสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยการเพิ่มไนตริกออกไซด์ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์ที่หลั่งอินซูลินซึ่งช่วยปรับปรุงการเผาผลาญกลูโคสของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com/best-supplements-for-heart-health-8624463
2. CodeforMen >> https://codeformenth.com/l-arginine/
3. FitnessTool >> https://fitnesstool.in.th/อาหารเสริม/l-arginine/
Pyridoxine Hydrochloride หรือ ที่รู้จักกันดีในชื่อ วิตามิน บี6 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีบทบาทสำคัญต่อระบบต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและระบบประสาท อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในกระบวนการสร้างพลังงานและเมตาบอลิซึม วิตามิน บี6 ไม่สามารถสร้างขึ้นเองในร่างกายได้ จึงต้องได้รับจากอาหารหรืออาหารเสริม ประโยชน์ของ วิตามิน บี6 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Pyridoxine Hydrochloride มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ โปรตีน ให้เป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ สารประกอบนี้ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการเผาผลาญ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่เพียงพอสำหรับการทำงานต่างๆ 2) Pyridoxine Hydrochloride เป็นตัวช่วยในการสังเคราะห์สารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ โดพามีน (Dopamine) ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ วิตามิน บี6 ยังอาจช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าและอาการเครียด โดยช่วยในการควบคุมระดับของสารเคมีในสมอง 3) วิตามิน บี6 มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยช่วยในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับเชื้อโรค นอกจากนี้ยังอาจช่วยในการสร้างแอนติบอดี้ ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อและโรคภัย 4) Pyridoxine Hydrochloride เป็นสารสำคัญที่ใช้ในการผลิตฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและลดโอกาสเกิดภาวะโลหิตจาง 5) Pyridoxine Hydrochloride ช่วยลดระดับโฮโมซิสทีน (Homocysteine) ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น วิตามิน บี6 จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพหัวใจและส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดที่ดี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Saffron Extract หรือ สารสกัดจากหญ้าฝรั่น ได้มาจากเกสรของดอก Crocus Sativus ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงและมีการใช้มาอย่างยาวนานในด้านการแพทย์แผนโบราณ สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบสำคัญ เช่น โครซิน (Crocin), ซาฟรานอล (Safranal) และ โครเซติน (Crocetin) ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลายด้านด้วยกันคือ 1) ปรับสมดุลฮอร์โมนและบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome) หรือ PMS เนื่องจากสารสกัดจากหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย การศึกษาพบว่าการรับประทานหญ้าฝรั่นขั้นต่ำ 30 มก. ต่อวัน อาจสามารถช่วยลดอาการ PMS เช่น อารมณ์แปรปรวนและความเหนื่อยล้าได้ 2) สารโครซิน (Crocin) และ สารซาฟรานอล (Safranal) ในหญ้าฝรั่นมีผลในการเพิ่มระดับเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมอง ซึ่งอาจช่วยลดอาการซึมเศร้าและปรับปรุงอารมณ์ โดยมีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าหญ้าฝรั่นอาจช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าเล็กน้อยถึงปานกลางได้ 3) Crocin และ Crocetin ในหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ดวงตาจากความเสียหาย การศึกษาบางชิ้นระบุว่าหญ้าฝรั่นอาจช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ 4) สารสกัดจากหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติในการระงับความอยากอาหาร การทดลองพบว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน ที่บริโภคหญ้าฝรั่นจะรู้สึกอิ่มและกินของว่างน้อยลงซึ่งอาจมีผลในการช่วยลดน้ำหนักได้ 5) สาร Safranal มีผลในการช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของดวงตาที่ไม่เร็ว (non-REM) ในการนอนหลับ ซึ่งอาจช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้นได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Rainbow Biotech >> https://www.rainbowextract.com/th/saffron-extract-benefits-and-side-effects/
2. Hello Khunmor >> https://hellokhunmor.com
Cordyceps Extract เป็นสารสกัดจากเห็ดถั่งเช่าที่พบมากในภูเขาสูงของทิเบตและจีน เห็ดถั่งเช่าถูกใช้ในวงการแพทย์แผนจีนมายาวนานเนื่องจากมีสารสำคัญ เช่น คอร์ไดเซปิน (Cordycepin) และ อะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างพลังงาน เพิ่มความทนทาน และ มีประโยชน์ด้านสุขภาพอีกหลากหลายประการ เช่น 1) Cordyceps มีสาน Cordycepin ซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิต อะดีโนซีน ไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) หรือ ATP ที่เป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ ทำให้ร่างกายมีพลังงานสูงขึ้นและมีความทนทานมากขึ้น ประโยชน์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำหรือผู้ที่ต้องการพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ 2) ช่วยละลายเสมหะและบรรเทาอาการไอ - Cordyceps มีคุณสมบัติในการช่วยละลายเสมหะ ทำให้เสมหะที่เหนียวถูกขับออกได้ง่ายขึ้น และ ช่วยลดการสะสมของเสมหะในทางเดินหายใจซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังหรือผู้ที่มีปัญหาทางเดินหายใจ 3) Cordyceps Extract ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ซึ่งส่งผลให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) ยังมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ทำให้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและสมรรถภาพทางเพศได้ดีขึ้น 4) Cordyceps มีคุณสมบัติในการเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน โดยสารคอร์ไดเซปินจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้มีความสมดุล 5) บำรุงระบบการไหลเวียนโลหิตและหัวใจ - สารอะดีโนซีน (Adenosine) ใน Cordyceps มีส่วนช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ลดความดันโลหิต และลดระดับไขมันในหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/cordyceps
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-747/cordyceps
3. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com/cordyceps-benefits-4689249
Flaxseed Extract หรือ สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ ได้มาจากเมล็ดของพืชลินิน (Linum Usitatissimum) ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สารสกัดนี้มีกรดไขมันจำเป็นหลายชนิดด้วยกันคือ Omega-3, Omeea-6 และ Omega-9 นอกจากนี้ยังมีสารลิกแนน (Lignans) และมีไฟเบอร์ที่สูงอีกด้วย ประโยชน์ด้านต่างๆของ Flaxseed Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) กรดไขมัน Omega-3 ใน Flaxseed Extract โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดอัลฟาไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid) หรือ ALA มีส่วนช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย 2) ปรับสมดุลฮอร์โมนและลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม - สาร Lignans ใน Flaxseed Extract ทำหน้าที่เป็นไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) ที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน 3) อาจข่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารเนื่องจากไฟเบอร์ที่มีอยู่สูงใน Flaxseed Extract จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้ได้ 4) กรดไขมัน Omega-3, Omega-6 และ Omega-9 ใน Flaxseed Extract ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดการอักเสบของผิว และ ลดการหลุดร่วง รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผมอีกด้วย 5) สารต้านอนุมูลอิสระใน Flaxseed Extract อาจมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และ อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/benefits-of-flaxseeds
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/flaxseed-oil-benefits
สารสำคัญที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนที่อาจช่วยเสริมสร้างความแข็งของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
Reishi Mushroom Extract คือ สารสกัดจากเห็ดหลินจือ ซึ่งเป็นเห็ดที่มีประวัติการใช้ในทางการแพทย์มาหลายพันปี โดยเฉพาะในประเทศจีนและญี่ปุ่น เห็ดหลินจือมีสารสำคัญหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ไตรเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids), โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) และ สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ สารสกัดจากเห็ดหลินจือมักใช้ในอาหารเสริมเพื่อส่งเสริมสุขภาพและสนับสนุนการทำงานของร่างกายหลายด้านด้วยกัน คือ 1) โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) ในเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยการช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายสามารถป้องกันการติดเชื้อและโรคต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) สารไตรเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) ในเห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ โดยการยับยั้งการผลิตสารที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เช่น สาร ไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ หากมีการผลิตมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและมีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โรคข้ออักเสบ หรือ โรคหัวใจ 3) สารประกอบใน Reishi Mushroom Extract มีฤทธิ์ช่วยในการปรับสมดุลของระบบประสาท ช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ลดความเครียด และ ช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่ดีได้ ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับหรือต้องการเสริมความสมดุลของร่างกาย 4) สารต้านอนุมูลอิสระใน Reishi Mushroom Extract ช่วยลดการเกิดออกซิเดชันในหลอดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ Triterpenoids ยังช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้อีกด้วย 5) สาร Polysaccharides ใน Reishi Mushroom Extract มีคุณสมบัติช่วยในการฟื้นฟูการทำงานของตับและปกป้องเซลล์ตับจากสารพิษ ช่วยให้ตับทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> www.healthline.com
2. Medical News Today >> www.medicalnewstoday.com
Goji Berry Extract คือ สารสกัดจากผลโกจิเบอร์รี ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนและถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์แผนจีนมาหลายพันปี ผลโกจิเบอร์รีมีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene), โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides), วิตามินซี (Vitamin C), ลูทีน (Lutein), ซีแซนทีน (Zeaxanthin) และ สารประกอบอื่นๆที่ช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพและลดความเครียด ทำให้เป็นที่นิยมในการใช้ในรูปแบบอาหารเสริมเพื่อบำรุงสุขภาพโดยรวม ประโยชน์ต่างๆของ Goji Berry Extract ที่มีผลต่อร่างกายมีดังต่อไปนี้ 1) สารโพลีแซคคาไรด์ใน Goji Berry Extract มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อและเชื้อโรคต่างๆได้ดีขึ้น 2) Goji Berry Extract มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ โพลีแซคคาไรด์ที่ช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลของระบบประสาท การบริโภคโกจิเบอร์รีอาจช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ลดอาการนอนไม่หลับ และ เพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายก่อนนอนได้ 3) Goji Berry Extract มี Lutein และ Zeaxanthin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อสุขภาพดวงตา ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงสีน้ำเงิน (Blue Light) และ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุได้ 4) สารเบต้าแคโรทีน และ สารต้านอนุมูลอิสระใน Goji Berry Extract มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและการเกิดออกซิเดชันในหลอดเลือดที่อาจช่วยทำให้ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5) วิตามินซี และ เบต้าแคโรทีน ใน Goji Berry Extract ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวดูสุขภาพดีและลดริ้วรอยจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากแสงแดดและมลภาวะ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> www.healthline.com
2. Medical News Today >> www.medicalnewstoday.com
Magnesium Amino Acid Chelate (20%) คือ สารประกอบของแมกนีเซียมที่จับคู่กับกรดอะมิโนเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมแมกนีเซียมได้ง่ายขึ้น การจับตัวกับกรดอะมิโนทำให้เกิดรูปแบบที่ร่างกายดูดซึมได้ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการเสริมแมกนีเซียมในปริมาณสูง สารนี้มักจะพบในอาหารเสริมเพื่อสนับสนุนระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมถึงการเสริมสร้างการนอนหลับและการผ่อนคลายของร่างกายอีกด้วย ประโยชน์ของ Magnesium Amino Acid Chelate ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง โดยแมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารของเซลล์ประสาทและการทำงานของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของความผิดปกติในระบบประสาทและช่วยป้องกันอาการตึงเครียดและซึมเศร้า 2) ช่วยบรรเทาอาการตะคริวและการเกร็งของกล้ามเนื้อ - การได้รับแมกนีเซียมอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ Magnesium Amino Acid Chelate ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแมกนีเซียมได้ดีกว่ารูปแบบอื่นๆทำให้สามารถลดอาการตะคริวและการเกร็งของกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้นได้ เนื่องจากแมกนีเซียมมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการผลิตเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมวงจรการนอนหลับของร่างกาย ช่วยให้การนอนหลับนั้นลึกและยาวนานขึ้น ส่งเสริมให้รู้สึกผ่อนคลายและลดความเครียดลง ทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น 4) แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กระดูกแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน การใช้ Magnesium Amino Acid Chelate จะช่วยเพิ่มการดูดซึมแมกนีเซียมเข้าสู่กระดูกอย่างมีประสิทธิภาพ 5) แมกนีเซียมอาจช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจและการผ่อนคลายของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> www.healthline.com
2. Medical News Today >> www.medicalnewstoday.com
Cordyceps Extract เป็นสารสกัดจากเห็ดถั่งเช่าที่พบมากในภูเขาสูงของทิเบตและจีน เห็ดถั่งเช่าถูกใช้ในวงการแพทย์แผนจีนมายาวนานเนื่องจากมีสารสำคัญ เช่น คอร์ไดเซปิน (Cordycepin) และ อะดีโนซีน (Adenosine) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างพลังงาน เพิ่มความทนทาน และ มีประโยชน์ด้านสุขภาพอีกหลากหลายประการ เช่น 1) Cordyceps มีสาน Cordycepin ซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิต อะดีโนซีน ไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) หรือ ATP ที่เป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ ทำให้ร่างกายมีพลังงานสูงขึ้นและมีความทนทานมากขึ้น ประโยชน์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำหรือผู้ที่ต้องการพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ 2) ช่วยละลายเสมหะและบรรเทาอาการไอ - Cordyceps มีคุณสมบัติในการช่วยละลายเสมหะ ทำให้เสมหะที่เหนียวถูกขับออกได้ง่ายขึ้น และ ช่วยลดการสะสมของเสมหะในทางเดินหายใจซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังหรือผู้ที่มีปัญหาทางเดินหายใจ 3) Cordyceps Extract ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ซึ่งส่งผลให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) ยังมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ทำให้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและสมรรถภาพทางเพศได้ดีขึ้น 4) Cordyceps มีคุณสมบัติในการเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน โดยสารคอร์ไดเซปินจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้มีความสมดุล 5) บำรุงระบบการไหลเวียนโลหิตและหัวใจ - สารอะดีโนซีน (Adenosine) ใน Cordyceps มีส่วนช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ลดความดันโลหิต และลดระดับไขมันในหลอดเลือด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/cordyceps
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins/ai/ingredientmono-747/cordyceps
3. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com/cordyceps-benefits-4689249
Emblic Extract หรือ สารสกัดมะขามป้อม เป็นสารสกัดจากผลของต้นมะขามป้อม (Phyllanthus Emblica) ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามิน ซี สูง สารต้านอนุมูลอิสระ โพลีฟีนอล (Polyphenols) แทนนิน (Tannins) และ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) สารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพหลายประการ และช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ร่างกาย ประโยชน์ของ Emblic Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Emblic Extract มีวิตามิน ซี ในปริมาณที่สูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน วิตามิน ซี ช่วยกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวและสารภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น 2) โพลีฟีนอล และ ฟลาโวนอยด์ ใน Emblic Extract ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมสภาพของเซลล์ การบริโภคสารสกัดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 3) วิตามิน ซี และ สารต้านอนุมูลอิสระใน Emblic Extract ช่วยเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียนและกระชับ นอกจากนี้ยังช่วยลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแสงแดด 4) Emblic Extract มีสารแทนนิน และ โพลีฟีนอลที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการชะลอการดูดซึมกลูโคสในร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน 5) สารสกัดมะขามป้อมมีคุณสมบัติในการบำรุงระบบย่อยอาหาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงช่วยลดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ สารแทนนินในมะขามป้อมยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Ascorbic Acid หรือ กรดแอสคอร์บิก เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าในชื่อ วิตามินซี (Vitamin C) เป็นสารอาหารที่ละลายน้ำได้และจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง จึงต้องได้รับจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การบริโภคกรดแอสคอร์บิกในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ดังนี้: 1) วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อและช่วยลดระยะเวลาของการเป็นหวัดได้ 2) Ascorbic Acid ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระซึ่งอาจนำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ 3) วิตามินซีเป็นส่วนสำคัญในการสังเคราะห์คอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวหนัง กระดูก และหลอดเลือด 4) Ascorbic Acid ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้ โดยเฉพาะธาตุเหล็กที่มาจากพืช ซึ่งช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง 5) การบริโภควิตามินซีอาจช่วยลดการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำบนผิวหนัง โดยการยับยั้งการสร้างเมลานิน (Melanin) และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Office of Dietary Supplements (ODS) >> https://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminC-Consumer/
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/vitamin-c-benefits
3. Cleveland Clinic >> https://health.clevelandclinic.org/vitamin-c
4. Health.com >> https://www.health.com/vitamin-c-skincare-8423238
Mulberry Extract หรือ สารสกัดจากมัลเบอร์รี่ ได้มาจากผลหรือใบของต้นหม่อน (Morus Alba) ซึ่งเป็นพืชที่มีการใช้ในทางการแพทย์แผนโบราณมาอย่างยาวนาน สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น แอนโทไซยานิน (Anthocyanin), รูติน (Rutin) และ 1-ดีออกซีโนจิริมายซิน (1-Deoxynojirimycin) ประโยชน์ของ Mulberry Extract ในรูปแบบอาหารเสริมมีดังนี้ 1) สาร 1-Deoxynojirimycin ในใบมัลเบอร์รี่มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต ทำให้การดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน 2) การบริโภคสารสกัดจากใบหม่อนช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ในเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากสาร 1-ดีออกซีโนจิริมายซิน ที่ช่วยยับยั้งการสังเคราะห์ไขมันในตับ ส่งผลให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 3) สารแอนโทไซยานินและรูตินในมัลเบอร์รี่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ได้ 4) นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รี่ยังอาจช่วยปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหาย ส่งเสริมการทำงานของสมองและความจำ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมได้อีกด้วย 5) สารสกัดจากมัลเบอร์รี่มีคุณสมบัติยับยั้งการสร้างเมลานิน(Melanin) ที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดเลือนจุดด่างดำและความหมองคล้ำ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Pobpad >> https://www.pobpad.com
2. Thenaturalist >> https://www.thenaturalist.co.th/product/26033-40716/mulberryextract
Zinc Amino Acid Chelate (20%) เป็นรูปแบบของสังกะสีที่ถูกจับคู่กับกรดอะมิโน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย การจับคู่กับกรดอะมิโนนี้ช่วยให้สังกะสีถูกดูดซึมได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสังกะสีในรูปแบบอื่นฟ ประโยชน์ของ Zinc Amino Acid Chelate ที่มีผลต่อร่างกายคือ 1) Zinc มีบทบาทสำคัญในการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายให้ดียิ่งขึ้น 2) ส่งเสริมการรักษาบาดแผลด้วยการสังเคราะห์โปรตีนและการแบ่งเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาบาดแผลและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ 3) Zinc เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทในการย่อยอาหาร การสังเคราะห์โปรตีน และ การทำงานของระบบประสาท 4) Zinc มีบทบาทในการรักษาสุขภาพผิว ลดการอักเสบ และช่วยในการรักษาสิวได้ด้วย 5) นอกจากนี้ เมิ่อรับประทาน Zinc ร่วมกับ Magnesium อาจมีผลในการช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ มีการศึกษาพบว่าการเสริม Zinc และ Magnesium ร่วมกันจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับและลดการตื่นกลางดึกได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/health/chelated-zinc
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/chelated-minerals
3. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/zma
Vitamin D3 หรือ ที่เรียกว่า คอเลแคลซิฟอรอล (Cholecalciferol) เป็นรูปแบบของวิตามินดีที่ร่างกายสามารถผลิตได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด วิตามิน ดี3 เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และ มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพกระดูก ระบบภูมิคุ้มกัน และ การทำงานของเซลล์ต่างๆ วิตามิน ดี3 ในระดับความเข้มข้น 100,000 IU ต่อกรัม จัดว่าเป็นปริมาณที่เข้มข้น ช่วยให้ร่างกายสามารถรับวิตามินนี้ได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ประโยชน์ของ Vitamin D3 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน ดี3 ช่วยในกระบวนการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ลำไส้ทำให้ร่างกายสามารถนำแร่ธาตุเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง Cholecalciferol ใน Vitamin D3 เป็นสารประกอบสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนและปัญหาสุขภาพฟัน 2) วิตามิน ดี3 มีบทบาทในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อ Cholecalciferol ใน Vitamin D3 ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิคุ้มกันอ่อนแอ 3) การมีระดับวิตามิน ดี3 ที่เพียงพอช่วยลดระดับความดันโลหิตซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือฟอรอล Cholecalciferol ใน Vitamin D3 ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงและลดการอักเสบที่อาจเกิดในระบบหลอดเลือด 4) วิตามิน ดี3 ช่วยส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Cholecalciferol ใน Vitamin D3 มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ 5) วิตามิน D3 มีบทบาทในการควบคุมการทำงานของอินซูลินและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมดุล สาร Cholecalciferol ใน Vitamin D3 มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
Chlorella Powder เป็นผงสกัดจากสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียวที่ชื่อว่า Chlorella ซึ่งเติบโตในน้ำจืด สาหร่ายชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมักถูกนำมาใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ประโยชน์ของ Chlorella Powder ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Chlorella มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี และ เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 2) สารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ที่มีอยู่ในสาหร่าย Chlorella อาจมีส่วนช่วยในการขจัดสารพิษและโลหะหนักออกจากร่างกายได้ 3) Chlorella มีไฟเบอร์และเอนไซม์ที่ช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารและสุขภาพลำไส้ 4) การบริโภคสาหร่าย Chlorella อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ 5) สาหร่าย Chlorella มีโปรตีนและธาตุเหล็กสูง ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานและความทนทานของร่างกายได้อีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/benefits-of-chlorella
2. MedicineNet >> https://www.medicinenet.com/12_impressive_health_benefits_of_chlorella/article.htm
3. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com/the-benefits-of-chlorella-89048
4. National Nutrition >> https://www.nationalnutrition.ca/articles/supplements/chlorella/
5. Organic Authority >> https://www.organicauthority.com/energetic-health/6-chlorella-benefits
สารสำคัญที่อาจช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ ซึ่งเราได้คัดสรรและผสมไว้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืน ได้แก่:
Eggshell Membranes Powder เป็นผงที่ได้จากชั้นบางๆสีขาวภายในเปลือกไข่ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น คอลลาเจน (Collagen), กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid), กลูโคซามีน (Glucosamine) และ คอนดรอยติน (Chondroitin) สารสกัดจากเปลือกไข่เหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพกระดูก ข้อต่อ และผิวหนัง จึงเป็นที่นิยมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับการดูแลสุขภาพ ประโยชน์ของ Eggshell Membranes Powder ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Eggshell Membranes Powder มีสารกลูโคซามีนและคอนดรอยติน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกอ่อนและลดการอักเสบที่ข้อต่อ ทำให้ช่วยบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเสื่อมหรือโรคข้ออักเสบเป็นต้น 2) Collagen ใน Eggshell Membranes Powder เป็นองค์ประกอบหลักของกระดูกและข้อต่อ ทำให้มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและลดความเสี่ยงของการสึกกร่อนของกระดูก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงสุขภาพกระดูก เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการป้องกันโรคกระดูกพรุน 3) กรดไฮยาลูรอนิกใน Eggshell Membranes Powder ช่วยดึงความชุ่มชื้นสู่ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้คอลลาเจนในสารสกัดนี้ยังช่วยให้ผิวเต่งตึง ลดริ้วรอย และเสริมสร้างโครงสร้างของผิวที่แข็งแรง 4) Eggshell Membranes Powder มีสารที่ช่วยบรรเทาอาการปวดและฟื้นฟูข้อต่อที่เสียหายจากการสึกหรอ ทำให้ผู้ที่มีอาการข้อเสื่อมหรือมีอาการปวดข้อบ่อย ๆ รู้สึกดีขึ้นและสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้น 5) สารสกัดจากเปลือกไข่ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอและฟื้นฟูความแข็งแรงของเนื้อเยื่อภายในร่างกาย โดยเฉพาะในข้อต่อและผิวหนัง ทำให้ร่างกายมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นและป้องกันการเสื่อมของเนื้อเยื่อต่างๆ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
3. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com
Undenatured Type 2 Collagen หรือ UC-II เป็นคอลลาเจนชนิดที่ 2 ที่ยังคงโครงสร้างธรรมชาติ ไม่ผ่านการย่อยสลายหรือแปรสภาพ คอลลาเจนชนิดนี้พบมากในกระดูกอ่อนของข้อต่อ มีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของข้อต่อ โดยประโยชน์ของ Undenatured Type 2 Collagen ต่อร่างกายมีดังนี้: 1) มีการศึกษาพบว่าการรับประทาน UC-II อาจช่วยลดอาการปวดและเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อในผู้ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม โดย UC-II ทำงานผ่านกลไกการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบและการสลายของกระดูกอ่อน 2) UC-II อาจมีส่วนช่วยลดการอักเสบของข้อ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารต้านการอักเสบ ทำให้ลดอาการบวมและปวดที่เกิดจากการอักเสบของข้อได้ 3) UC-II อาจช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ในกระดูกอ่อน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเพิ่มปริมาณน้ำในข้อ ทำให้ข้อมีความยืดหยุ่นและแข็งแรงมากขึ้นได้ 4) ปรับปรุงการเคลื่อนไหวของข้อ โดยการบริโภค UC-II นั้นอาจช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวของข้อ ลดความฝืดและความยากลำบากในการเคลื่อนไหว ทำให้การทำกิจกรรมประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น 5) ลดความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ - UC-II อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อข้อ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. POBPAD >> https://www.pobpad.com
2. SpringerOpen >> https://jlse.springeropen.com/articles/10.1186/s42825-024-00160-y
Magnesium Amino Acid Chelate (20%) คือ สารประกอบของแมกนีเซียมที่จับคู่กับกรดอะมิโนเพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมแมกนีเซียมได้ง่ายขึ้น การจับตัวกับกรดอะมิโนทำให้เกิดรูปแบบที่ร่างกายดูดซึมได้ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการเสริมแมกนีเซียมในปริมาณสูง สารนี้มักจะพบในอาหารเสริมเพื่อสนับสนุนระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมถึงการเสริมสร้างการนอนหลับและการผ่อนคลายของร่างกายอีกด้วย ประโยชน์ของ Magnesium Amino Acid Chelate ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง โดยแมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารของเซลล์ประสาทและการทำงานของสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของความผิดปกติในระบบประสาทและช่วยป้องกันอาการตึงเครียดและซึมเศร้า 2) ช่วยบรรเทาอาการตะคริวและการเกร็งของกล้ามเนื้อ - การได้รับแมกนีเซียมอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ Magnesium Amino Acid Chelate ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแมกนีเซียมได้ดีกว่ารูปแบบอื่นๆทำให้สามารถลดอาการตะคริวและการเกร็งของกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) ช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้นได้ เนื่องจากแมกนีเซียมมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการผลิตเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมวงจรการนอนหลับของร่างกาย ช่วยให้การนอนหลับนั้นลึกและยาวนานขึ้น ส่งเสริมให้รู้สึกผ่อนคลายและลดความเครียดลง ทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น 4) แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กระดูกแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน การใช้ Magnesium Amino Acid Chelate จะช่วยเพิ่มการดูดซึมแมกนีเซียมเข้าสู่กระดูกอย่างมีประสิทธิภาพ 5) แมกนีเซียมอาจช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจและการผ่อนคลายของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> www.healthline.com
2. Medical News Today >> www.medicalnewstoday.com
Zinc Amino Acid Chelate (20%) เป็นรูปแบบของสังกะสีที่ถูกจับคู่กับกรดอะมิโน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย การจับคู่กับกรดอะมิโนนี้ช่วยให้สังกะสีถูกดูดซึมได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสังกะสีในรูปแบบอื่นฟ ประโยชน์ของ Zinc Amino Acid Chelate ที่มีผลต่อร่างกายคือ 1) Zinc มีบทบาทสำคัญในการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายให้ดียิ่งขึ้น 2) ส่งเสริมการรักษาบาดแผลด้วยการสังเคราะห์โปรตีนและการแบ่งเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาบาดแผลและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ 3) Zinc เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทในการย่อยอาหาร การสังเคราะห์โปรตีน และ การทำงานของระบบประสาท 4) Zinc มีบทบาทในการรักษาสุขภาพผิว ลดการอักเสบ และช่วยในการรักษาสิวได้ด้วย 5) นอกจากนี้ เมิ่อรับประทาน Zinc ร่วมกับ Magnesium อาจมีผลในการช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ มีการศึกษาพบว่าการเสริม Zinc และ Magnesium ร่วมกันจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับและลดการตื่นกลางดึกได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/health/chelated-zinc
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/chelated-minerals
3. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/zma
Vitamin D3 หรือ ที่เรียกว่า คอเลแคลซิฟอรอล (Cholecalciferol) เป็นรูปแบบของวิตามินดีที่ร่างกายสามารถผลิตได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด วิตามิน ดี3 เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน และ มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพกระดูก ระบบภูมิคุ้มกัน และ การทำงานของเซลล์ต่างๆ วิตามิน ดี3 ในระดับความเข้มข้น 100,000 IU ต่อกรัม จัดว่าเป็นปริมาณที่เข้มข้น ช่วยให้ร่างกายสามารถรับวิตามินนี้ได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ประโยชน์ของ Vitamin D3 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน ดี3 ช่วยในกระบวนการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ลำไส้ทำให้ร่างกายสามารถนำแร่ธาตุเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง Cholecalciferol ใน Vitamin D3 เป็นสารประกอบสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนและปัญหาสุขภาพฟัน 2) วิตามิน ดี3 มีบทบาทในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อ Cholecalciferol ใน Vitamin D3 ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิคุ้มกันอ่อนแอ 3) การมีระดับวิตามิน ดี3 ที่เพียงพอช่วยลดระดับความดันโลหิตซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือฟอรอล Cholecalciferol ใน Vitamin D3 ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงและลดการอักเสบที่อาจเกิดในระบบหลอดเลือด 4) วิตามิน ดี3 ช่วยส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Cholecalciferol ใน Vitamin D3 มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ 5) วิตามิน D3 มีบทบาทในการควบคุมการทำงานของอินซูลินและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่สมดุล สาร Cholecalciferol ใน Vitamin D3 มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนของเรามีสารสำคัญหลายชนิดที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการดูแลและบำรุงผิวพรรณ เช่น:
ผงสตรอว์เบอร์รี - สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารในกลุ่ม แอนโทไซยานิน (Anthocyanins), วิตามินซี, ไฟเบอร์ และ กรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) ที่ล้วนแต่มีคุณสมบัติที่อาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ช่วยในการย่อยอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และ ประโยชน์ต่อผิวพรรณ นอกจากนี้ สตรอว์เบอร์รี ยังเป็นหนึ่งในผลไม้ไม่กี่ชนิดที่พบสาร Fisetin ในปริมาณที่สูงมากอันดับต้นๆ. Fisetin เป็นสารประกอบทางชีวภาพในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติในการปกป้องเซลล์. Fisetin เป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็น Senolytic ที่สามารถช่วยกำจัดเซลล์ที่หยุดการแบ่งตัวแต่ไม่ตายที่เรียกว่า "Senescent Cells" หรือเรียกง่ายๆว่า Zombie Cells. เซลล์ซอมบี้เหล่านี้ไม่สามารถขจัดออกจากร่างกายได้ง่ายๆด้วยขบวนการปกติของร่างกาย และ มักจะสะสมอยู่ในร่างกายเมื่อเราอายุมากขึ้น เซลล์ซอมบี้เหล่านี้จะปล่อยสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ส่งผลให้เกิดโรคเสื่อมสภาพตามอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือ โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ดังนั้น Fisetin ที่พบในสตรอว์เบอร์รี จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ทั้งในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ กำจัดเซลล์ซอมบี้ ส่งเสริมสุขภาพสมอง และ ชะลอความเสื่อมสภาพของร่างกาย เป็นต้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. National Institutes of Health (NIH) >> https://www.nih.gov
2. Healthline >> https://www.healthline.com
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
Kiwi Powder คือ ผงที่ได้จากผลของกีวีที่ผ่านการอบแห้งและบดละเอียด โดยการผลิต Kiwi Powder นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถคงคุณค่าสารอาหารของกีวีไว้ได้และนำไปใช้งานในรูปแบบต่างๆได้ง่ายขึ้น เช่น การผสมในเครื่องดื่ม สมูทตี้ ขนมอบ และ อาหารเสริมเป็นต้น Kiwi Powder เต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเค ใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ และ กรดอะมิโนไทรปโตเฟน (Tryptophan) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้านอีกด้วย ประโยชน์ของ Kiwi Powder ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Kiwi Powder มีวิตามินซีสูง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซีช่วยเพิ่มการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อและไวรัสต่าง ๆ ได้ดีขึ้น 2) Kiwi Powder มีใยอาหารและเอนไซม์ชื่อ แอคตินิดิน (Actinidin) ซึ่งช่วยในกระบวนการย่อยโปรตีน ทำให้ร่างกายสามารถย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ 3) สารประกอบใน Kiwi Powder อย่าง โพแทสเซียม และ ใยอาหาร มีส่วนช่วยในการลดระดับความดันโลหิตและควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ 4) ใยอาหารใน Kiwi Powder สามารถช่วยชะลอการย่อยอาหารและการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความเสี่ยงต่อเบาหวาน 5) สารต้านอนุมูลอิสระใน Kiwi Powder ช่วยลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวหมองคล้ำและริ้วรอย นอกจากนี้ วิตามินซีใน Kiwi Powder ยังมีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีและกระจ่างใสได้อีกด้วย 6) กรดอะมิโน Tryptophan ใน Kiwi Powder มีส่วนช่วยในการสร้างเซโรโทนิน (Serotonin) และ เมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการช่วยควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ การรับประทาน Tryptophan จะช่วยให้ร่างกายผลิตสารเหล่านี้มากขึ้น ส่งผลให้หลับสบายและลดอาการนอนไม่หลับได้ดีขึ้นอีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> www.healthline.com
2. Medical News Today >> www.medicalnewstoday.com
Acai Extract คือ สารสกัดจากผลอาซาอิ ซึ่งเป็นผลไม้ที่เติบโตในป่าแอมะซอนของบราซิลและเป็นที่รู้จักกันว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก Acai เป็นผลไม้ที่มีสารอาหารหลากหลาย เช่น ไฟเบอร์ กรดไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และ สารไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพในหลายด้าน Acai Extract จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงร่างกาย ประโยชน์ของ Acai Extract ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) Acai Extract มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก เช่น มลพิษหรือรังสี UV การต้านอนุมูลอิสระนี้มีผลในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ทำให้ผิวพรรณดูสดใสและลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย 2) Acai Extract มีไขมันชนิดดีอย่างโอเมก้า 3, 6 และ 9 ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงของการอุดตันในหลอดเลือดแดง ซึ่งอาจมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ 3) ไฟเบอร์ที่มีอยู่ใน Acai Extract ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมอาหารหรือควบคุมน้ำหนัก 4) สาร Phytonutrients ใน Acai Extract เช่น วิตามินซีและอี มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายมีความเครียดหรือฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วย 5) Acai Extract มีไฟเบอร์สูงที่ช่วยในการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยลดอาการท้องผูกและส่งเสริมการขับถ่ายที่ดีขึ้น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
3. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com
Undenatured Type 2 Collagen หรือ UC-II เป็นคอลลาเจนชนิดที่ 2 ที่ยังคงโครงสร้างธรรมชาติ ไม่ผ่านการย่อยสลายหรือแปรสภาพ คอลลาเจนชนิดนี้พบมากในกระดูกอ่อนของข้อต่อ มีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของข้อต่อ โดยประโยชน์ของ Undenatured Type 2 Collagen ต่อร่างกายมีดังนี้: 1) มีการศึกษาพบว่าการรับประทาน UC-II อาจช่วยลดอาการปวดและเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อในผู้ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม โดย UC-II ทำงานผ่านกลไกการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบและการสลายของกระดูกอ่อน 2) UC-II อาจมีส่วนช่วยลดการอักเสบของข้อ โดยการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารต้านการอักเสบ ทำให้ลดอาการบวมและปวดที่เกิดจากการอักเสบของข้อได้ 3) UC-II อาจช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ในกระดูกอ่อน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเพิ่มปริมาณน้ำในข้อ ทำให้ข้อมีความยืดหยุ่นและแข็งแรงมากขึ้นได้ 4) ปรับปรุงการเคลื่อนไหวของข้อ โดยการบริโภค UC-II นั้นอาจช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวของข้อ ลดความฝืดและความยากลำบากในการเคลื่อนไหว ทำให้การทำกิจกรรมประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น 5) ลดความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ - UC-II อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกันต่อเนื้อเยื่อข้อ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. POBPAD >> https://www.pobpad.com
2. SpringerOpen >> https://jlse.springeropen.com/articles/10.1186/s42825-024-00160-y
White Jelly Mushroom Extract ได้มาจากการสกัดเห็ด Tremella Fuciformis หรือที่รู้จักกันในชื่อเห็ดหูหนูขาว เห็ดชนิดนี้มีการใช้ในแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนาน สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น พอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides), สเตอรอล (Sterols) และ ไตรเทอร์พีน (Triterpenes) ประโยชน์ของสารสกัดจากเห็ดหูหนูขาวในรูปแบบอาหารเสริมคือ 1) ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยพอลิแซ็กคาไรด์ในเห็ดหูหนูขาวมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยเพิ่มการผลิตแอนติบอดีและเสริมสร้างความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรคได้ 2) สารไตรเทอร์พีนอยด์และพอลิแซ็กคาไรด์ที่พบในเห็ดหูหนูขาวจะไปยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน เพื่อช่วยเพิ่มความกระชับและยืดหยุ่นของผิว 3) สารสกัดจากเห็ดหูหนูขาวยังอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) 4) การบริโภคสารสกัดจากเห็ดหูหนูขาวอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยพอลิแซ็กคาไรด์ในเห็ดจะช่วยปรับปรุงการทำงานของอินซูลินและเพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลินได้ 5) นอกจากนี้ สารสกัดจากเห็ดหูหนูขาวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหาย โดยส่งเสริมการทำงานของสมองและความจำ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Rainbow Biotech >> https://www.rainbowextract.com/th/the-powerful-health-benefits-of-tremella-mushroom-extract/
Emblic Extract หรือ สารสกัดมะขามป้อม เป็นสารสกัดจากผลของต้นมะขามป้อม (Phyllanthus Emblica) ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามิน ซี สูง สารต้านอนุมูลอิสระ โพลีฟีนอล (Polyphenols) แทนนิน (Tannins) และ ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) สารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพหลายประการ และช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ร่างกาย ประโยชน์ของ Emblic Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Emblic Extract มีวิตามิน ซี ในปริมาณที่สูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน วิตามิน ซี ช่วยกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวและสารภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น 2) โพลีฟีนอล และ ฟลาโวนอยด์ ใน Emblic Extract ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมสภาพของเซลล์ การบริโภคสารสกัดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง 3) วิตามิน ซี และ สารต้านอนุมูลอิสระใน Emblic Extract ช่วยเสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวพรรณเรียบเนียนและกระชับ นอกจากนี้ยังช่วยลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแสงแดด 4) Emblic Extract มีสารแทนนิน และ โพลีฟีนอลที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการชะลอการดูดซึมกลูโคสในร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน 5) สารสกัดมะขามป้อมมีคุณสมบัติในการบำรุงระบบย่อยอาหาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงช่วยลดการอักเสบในกระเพาะอาหารและลำไส้ สารแทนนินในมะขามป้อมยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
3. WebMD >> https://www.webmd.com
Flaxseed Extract หรือ สารสกัดจากเมล็ดแฟลกซ์ ได้มาจากเมล็ดของพืชลินิน (Linum Usitatissimum) ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ สารสกัดนี้มีกรดไขมันจำเป็นหลายชนิดด้วยกันคือ Omega-3, Omeea-6 และ Omega-9 นอกจากนี้ยังมีสารลิกแนน (Lignans) และมีไฟเบอร์ที่สูงอีกด้วย ประโยชน์ด้านต่างๆของ Flaxseed Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) กรดไขมัน Omega-3 ใน Flaxseed Extract โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรดอัลฟาไลโนเลนิก (Alpha-Linolenic Acid) หรือ ALA มีส่วนช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย 2) ปรับสมดุลฮอร์โมนและลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม - สาร Lignans ใน Flaxseed Extract ทำหน้าที่เป็นไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) ที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน 3) อาจข่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารเนื่องจากไฟเบอร์ที่มีอยู่สูงใน Flaxseed Extract จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้ได้ 4) กรดไขมัน Omega-3, Omega-6 และ Omega-9 ใน Flaxseed Extract ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดการอักเสบของผิว และ ลดการหลุดร่วง รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นผมอีกด้วย 5) สารต้านอนุมูลอิสระใน Flaxseed Extract อาจมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และ อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/benefits-of-flaxseeds
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/flaxseed-oil-benefits
Refined Rice Bran Oil Powder เป็นผงน้ำมันรำข้าวที่ผ่านการกลั่นและแปรรูปให้อยู่ในรูปแบบผง น้ำมันรำข้าวที่สกัดจากรำข้าวและจมูกข้าวนี้เป็นส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และการแปรรูปเป็นผงจะทำให้สะดวกต่อการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและอาหารต่างๆได้ดียิ่งขึ้น ประโยชน์ของผงน้ำมันรำข้าวที่มีต่อร่างกายคือ 1) น้ำมันรำข้าวอุดมไปด้วยวิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โทโคฟีรอล (Tocopherols) และ โทโคไตรอีนอล (Tocotrienols) ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย 2) สารแกมมา-โอรีซานอล (Gamma-Oryzanol) ในน้ำมันรำข้าวมีคุณสมบัติช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL๗ และช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี (HDL) ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด 3) สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันรำข้าวอาจช่วยลดการอักเสบและป้องกันความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆได้ 4) วิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันรำข้าวยังอาจช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดเลือนริ้วรอย และปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดและมลภาวะได้ 5) กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนในน้ำมันรำข้าวยังอาจช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ส่งเสริมความจำและการเรียนรู้ได้อีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Hello Khunmor >> https://hellokhunmor.com
2. Muangthai Life >> https://www.muangthai.co.th/th/article/health/benefits-of-rice-bran-oil
3. ProductNation >> https://productnation.co/th/
4. HD >> https://hd.co.th/the-benefits-of-rice-bran-oil
5. HealthyBeau >> https://healthybeau.co
Ascorbic Acid หรือ กรดแอสคอร์บิก เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าในชื่อ วิตามินซี (Vitamin C) เป็นสารอาหารที่ละลายน้ำได้และจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง จึงต้องได้รับจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การบริโภคกรดแอสคอร์บิกในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ดังนี้: 1) วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อและช่วยลดระยะเวลาของการเป็นหวัดได้ 2) Ascorbic Acid ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระซึ่งอาจนำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ 3) วิตามินซีเป็นส่วนสำคัญในการสังเคราะห์คอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จำเป็นต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวหนัง กระดูก และหลอดเลือด 4) Ascorbic Acid ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้ โดยเฉพาะธาตุเหล็กที่มาจากพืช ซึ่งช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง 5) การบริโภควิตามินซีอาจช่วยลดการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำบนผิวหนัง โดยการยับยั้งการสร้างเมลานิน (Melanin) และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Office of Dietary Supplements (ODS) >> https://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminC-Consumer/
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/vitamin-c-benefits
3. Cleveland Clinic >> https://health.clevelandclinic.org/vitamin-c
4. Health.com >> https://www.health.com/vitamin-c-skincare-8423238
Jujube Extract หรือ สารสกัดจากผลพุทราจีน (Ziziphus Jujuba) ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีการใช้ในแพทย์แผนจีนมานานนับพันปี สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายชนิดด้วยกันคือ 1) Jujube Extract มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อได้ 2) สารสกัดจากพุทราจีนมีสารทริปโตฟาน (Tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญที่ร่างกายใช้ในการสร้างสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ เมลาโทนิน (Melatonin) โดยที่ Tryptophan เป็นสารตั้งต้นของ Melatonin ซึ่งช่วยควบคุมวงจรการนอนหลับและตื่น ทำให้การนอนหลับมีคุณภาพดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ Tryptophan ยังอาจช่วยเพิ่มการผลิต Serotonin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปรับอารมณ์ ลดความวิตกกังวล และส่งเสริมสุขภาพจิตได้และถึงแม้ว่าในพุทราจีนจะมี Tryptophan อยู่ในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อบริโภคร่วมกันกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ก็สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้ดียิ่งขึ้น 3) สารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) ใน Jujube Extract มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ที่อาจช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆได้ 4) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้ - สารซาโปนิน (Saponin) ใน Jujube Extract อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 5) ไฟเบอร์ใน Jujube Extract อาจช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารที่ดี ลดอาการท้องผูก และสนับสนุนสุขภาพลำไส้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. NCBI >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/29934711/
2. ScienceDirect >> https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0889157516303611
3. Health.com >> https://www.health.com/jujube-benefits-8711258
4. The Botanical Institute >> https://botanicalinstitute.org/jujube/
5. MDPI >> https://www.mdpi.com/2079-9284/11/5/181
6. Journal of Zhejiang University-SCIENCE B >> https://link.springer.com/article/10.1631/jzus.B2000594
7. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com/jujube-8734898
สารสำคัญที่มีบทบาทในการช่วยผ่อนคลายความเครียดและปรับสมดุลอารมณ์ที่เราได้คัดสรรและผสมไว้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืน มีดังนี้:
L-Theanine เป็นกรดอะมิโนที่พบได้ในชาเขียวและเห็ดบางชนิด มีคุณสมบัติที่ช่วยส่งเสริมการผ่อนคลาย โดยไม่ทำให้เกิดอาการง่วงนอน และ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆด้านดัวยกัน เช่น ช่วยลดความเครียด เพิ่มสมาธิ และ ช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ โดย L-Theanine จะทำงานโดยการเพิ่มสารเคมีในสมอง เช่น โดปามีน (Dopamine) และ เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับสมดุลอารมณ์และลดความเครียด รายละเอียดเกี่ยวกับประโยชน์ของ L-Theanine ที่มีต่อร่างกายคือ 1) ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล - L-Theanine ช่วยเพิ่มการผลิตสาร Serotonin และ Dopamine ซึ่งช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและลดความรู้สึกกังวลลง ดังนั้นการบริโภค L-Theanine จึงช่วยให้ร่างกายรู้สึกสงบแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด 2) L-Theanine ช่วยส่งเสริมการผลิตคลื่นอัลฟา (Alpha Waves) ในสมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผ่อนคลายและความคิดที่ชัดเจน ทำให้มีสมาธิมากขึ้น และสามารถจดจ่อกับงานที่ทำได้ดีขึ้นโดยไม่ง่วงนอน 3) ด้วยคุณสมบัติด้านการผ่อนคลายของ L-Theanine ทำให้ช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในการนอนลงและส่งเสริมการนอนหลับที่ลึกและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นจึงทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อตื่นนอน 4) นอกจากนี้ L-Theanine ยังอาจช่วยเพิ่มการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เช่น การเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ 5) การใช้ L-Theanine อาจช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/l-theanine
2. WebMD >> https://www.webmd.com/vitamins-and-supplements/theanine-uses
Pharmagaba หรือ Gamma-Aminobutyric Acid เป็นสารสื่อประสาทที่ผลิตขึ้นในสมองและมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความเครียดและอารมณ์ โดย Pharmagaba ทำหน้าที่เป็นสารยับยั้งในระบบประสาทกลาง ซึ่งช่วยลดการกระตุ้นและความตื่นตัวทำให้ร่างกายสามารถผ่อนคลายได้ง่ายขึ้น Pharmagaba เป็นรูปแบบของ GABA ที่ได้จากกระบวนการหมักและมีประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ทำให้เป็นที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและปรับสมดุลทางจิตใจ ประโยชน์ของ Pharmagaba ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Pharmagaba มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการทำงานของเซลล์ประสาทที่ทำให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล ด้วยการเพิ่มระดับ GABA ในสมอง ความวิตกกังวลและอาการตื่นเต้นจะลดลง ส่งผลให้จิตใจสงบและผ่อนคลายมากขึ้น 2) ส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ - GABA มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดการกระตุ้นสมอง ทำให้เข้าสู่ภาวะการนอนหลับได้เร็วขึ้น และช่วยปรับคุณภาพของการนอนหลับให้ลึกและต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนหลับยากหรือการนอนหลับที่ไม่ต่อเนื่อง 3) การที่ GABA ช่วยลดความตื่นเต้นของเซลล์ประสาท ทำให้สมองมีสภาวะที่สงบและมีสมาธิที่ดีขึ้นนั้น การทำงานของระบบประสาทที่สงบขึ้นจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำและการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นด้วย 4) ช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้า - GABA ที่มีระดับเพียงพอในสมองจะช่วยเสริมสร้างสมดุลของสารเคมีในสมอง ทำให้ลดความเสี่ยงของอาการซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ Pharmagaba ยังช่วยปรับสมดุลของอารมณ์และทำให้รู้สึกมีความสุขและสงบใจมากขึ้น 5) เนื่องจาก GABA มีคุณสมบัติในการลดความเครียดและช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้ จึงสามารถช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตได้ด้วย เนื่องจากการที่ร่างกายและจิตใจอยู่ในภาวะสงบจะช่วยลดระดับความดันโลหิตในร่างกายได้อัตโนมัติ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
3. Verywell Mind >> https://www.verywellmind.com
สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ (Chamomile Extract) ได้มาจากดอกของพืชในตระกูล Asteraceae ดอกคาโมมายล์อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น กลุ่มฟลาโวนอยด์ (Apigenin และ Auercetin), กลุ่มคูมารินส์ (Herniarin และ Umbelliferone) และ น้ำมันหอมระเหย (Alpha-bisabolol และ Chamazulene) ประโยชน์ของสารสกัดจากดอกคาโมมายล์ที่มีผลต่อร่างกายคือ 1) ช่วยให้ผ่อนคลายและส่งเสริมการนอนหลับ โดยสาร Apigenin ในดอกคาโมมายล์มีฤทธิ์เชื่อมต่อกับตัวรับเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) ในสมองที่ช่วยลดความวิตกกังวลและส่งเสริมการนอนหลับที่ดีขึ้น 2) สาร Alpha-bisabolol และ Chamazulene มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการระคายเคืองและอักเสบของผิวหนังได้ 3) ต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเซลล์ โดยสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น Quercetin และ Apigenin มีฤทธิ์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและชะลอการเสื่อมของเซลล์ 4) สารสกัดจากดอกคาโมมายล์มีฤทธิ์ในการต้านการเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็งในระบบทางเดินอาหาร และ ลดอาการปวดประจำเดือนได้ 5) สารสกัดจากดอกคาโมมายล์ยังมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อจุลชีพ ซึ่งช่วยลดการอักเสบในช่องปากและลำคอและช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Faculty of Pharmacy, Mahidol University >> https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service-knowledge-article.php
Saffron Extract หรือ สารสกัดจากหญ้าฝรั่น ได้มาจากเกสรของดอก Crocus Sativus ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่มีราคาแพงและมีการใช้มาอย่างยาวนานในด้านการแพทย์แผนโบราณ สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบสำคัญ เช่น โครซิน (Crocin), ซาฟรานอล (Safranal) และ โครเซติน (Crocetin) ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลายด้านด้วยกันคือ 1) ปรับสมดุลฮอร์โมนและบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome) หรือ PMS เนื่องจากสารสกัดจากหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย การศึกษาพบว่าการรับประทานหญ้าฝรั่นขั้นต่ำ 30 มก. ต่อวัน อาจสามารถช่วยลดอาการ PMS เช่น อารมณ์แปรปรวนและความเหนื่อยล้าได้ 2) สารโครซิน (Crocin) และ สารซาฟรานอล (Safranal) ในหญ้าฝรั่นมีผลในการเพิ่มระดับเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมอง ซึ่งอาจช่วยลดอาการซึมเศร้าและปรับปรุงอารมณ์ โดยมีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าหญ้าฝรั่นอาจช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าเล็กน้อยถึงปานกลางได้ 3) Crocin และ Crocetin ในหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ดวงตาจากความเสียหาย การศึกษาบางชิ้นระบุว่าหญ้าฝรั่นอาจช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาที่เกี่ยวข้องกับอายุได้ 4) สารสกัดจากหญ้าฝรั่นมีคุณสมบัติในการระงับความอยากอาหาร การทดลองพบว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน ที่บริโภคหญ้าฝรั่นจะรู้สึกอิ่มและกินของว่างน้อยลงซึ่งอาจมีผลในการช่วยลดน้ำหนักได้ 5) สาร Safranal มีผลในการช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของดวงตาที่ไม่เร็ว (non-REM) ในการนอนหลับ ซึ่งอาจช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้นได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Rainbow Biotech >> https://www.rainbowextract.com/th/saffron-extract-benefits-and-side-effects/
2. Hello Khunmor >> https://hellokhunmor.com
Lemon Balm Extract หรือ สารสกัดจากใบของพืชเลมอนบาล์ม (Melissa Officinalis) ซึ่งเป็นสมุนไพรในตระกูลมิ้นต์ โดยมีการใช้ในแพทย์แผนโบราณมานานหลายศตวรรษ สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายชนิดด้วยกันคือ 1) สารโรสมารินิกแอซิด (Rosmarinic Acid) ในสารสกัดเลมอนบาล์มมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการทำลายของสารสื่อประสาท GABA ในสมองส่งผลให้ระดับ GABA เพิ่มมากขึ้นและช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล 2) ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทนี้ สารสกัดเลมอนบาล์มจึงช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ลดอาการนอนไม่หลับ และทำให้นอนหลับได้ลึกยิ่งขึ้น 3) สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ใน Lemon Balm ยังมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้ 4) Lemon Balm มีคุณสมบัติช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปรับปรุงการย่อยอาหารได้โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร 5) การบริโภคเลมอนบาล์มอาจช่วยปรับปรุงความจำและการทำงานของสมองได้ โดยการเพิ่มระดับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. GeneusDNA >> https://www.geneusdna.com
2. HDmall >> https://hdmall.co.th/blog/health/lemon-balm
3. Hello Khunmor >> https://hellokhunmor.com
4. Gourmet & Cuisine >> https://www.gourmetandcuisine.com/stories/detail/1798
5. The Naturalist >> https://www.thenaturalist.co.th/product/25972-40654/lemonbalmextract
Jujube Extract หรือ สารสกัดจากผลพุทราจีน (Ziziphus Jujuba) ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีการใช้ในแพทย์แผนจีนมานานนับพันปี สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายชนิดด้วยกันคือ 1) Jujube Extract มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อได้ 2) สารสกัดจากพุทราจีนมีสารทริปโตฟาน (Tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญที่ร่างกายใช้ในการสร้างสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ เมลาโทนิน (Melatonin) โดยที่ Tryptophan เป็นสารตั้งต้นของ Melatonin ซึ่งช่วยควบคุมวงจรการนอนหลับและตื่น ทำให้การนอนหลับมีคุณภาพดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ Tryptophan ยังอาจช่วยเพิ่มการผลิต Serotonin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปรับอารมณ์ ลดความวิตกกังวล และส่งเสริมสุขภาพจิตได้และถึงแม้ว่าในพุทราจีนจะมี Tryptophan อยู่ในปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อบริโภคร่วมกันกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ก็สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้ดียิ่งขึ้น 3) สารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) ใน Jujube Extract มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ที่อาจช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆได้ 4) อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้ - สารซาโปนิน (Saponin) ใน Jujube Extract อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 5) ไฟเบอร์ใน Jujube Extract อาจช่วยส่งเสริมการย่อยอาหารที่ดี ลดอาการท้องผูก และสนับสนุนสุขภาพลำไส้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. NCBI >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/29934711/
2. ScienceDirect >> https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0889157516303611
3. Health.com >> https://www.health.com/jujube-benefits-8711258
4. The Botanical Institute >> https://botanicalinstitute.org/jujube/
5. MDPI >> https://www.mdpi.com/2079-9284/11/5/181
6. Journal of Zhejiang University-SCIENCE B >> https://link.springer.com/article/10.1631/jzus.B2000594
7. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com/jujube-8734898
Schisandra Extract หรือ สารสกัดจากผลชิแซนดร้า เป็นสมุนไพรที่ใช้ในแพทย์แผนจีนมายาวนาน มีคุณสมบัติเป็น Adaptogen ซึ่งช่วยให้ร่างกายปรับตัวและรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น สารสกัดจากผลชิแซนดร้าอุดมไปด้วยสารลิกแนนส์ (Lignans) และสารประกอบสำคัญอื่น ๆ ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพในด้านต่างๆ รวมถึงการลดระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) และ การเสริมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายด้วย รายละเอียดประโยชน์ของ Schisandra Extract ที่มีต่อร่างกายมีดังต่อไปนี้ 1) Schisandra Extract มีคุณสมบัติเป็น Adaptogen ซึ่งช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลในสถานการณ์ที่มีความเครียดสูง สาร Lignans ใน Schisandra ยังช่วยกระตุ้นระบบประสาทกลาง ทำให้ร่างกายฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าและลดอาการที่เกิดจากความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) Schisandra Extract มีส่วนช่วยในการลดระดับสาร Cortisol ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดที่สูงขึ้นเมื่อร่างกายเผชิญกับสถานการณ์เครียด การลดระดับ Cortisol ลงจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ลดความเครียดลง และ เสริมสร้างการฟื้นตัวของระบบต่างๆภายในร่างกาย ทำให้รู้สึกสงบและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความเครียดได้ดียิ่งขึ้น 3) เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศชาย - Schisandra Extract มีสาร Lignans ที่ช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชาย เช่น เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ทำให้มีประโยชน์ในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้พลังงานเพิ่มขึ้นและลดความอ่อนล้าที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศชายในบางช่วงอายุ 4) บำรุงสุขภาพตับ - สารต้านอนุมูลอิสระใน Schisandra Extract ช่วยป้องกันเซลล์ตับจากการถูกทำลาย และกระตุ้นการฟื้นฟูเซลล์ตับใหม่ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับและอาจช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ นอกจากนี้ยังอาจช่วยให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย 5) Schisandra Extract ช่วยเพิ่มพลังงานและความทนทานของร่างกาย โดยสาร Lignans และ Adaptogen ใน Schisandra จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทกลาง ทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังงานพร้อมรับมือกับการทำกิจกรรมต่างๆได้ดียิ่งขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
3. Verywell Health >> https://www.verywellhealth.com
Thiamine Hydrochloride หรือ ที่รู้จักกันดีในชื่อ วิตามิน บี1 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำและมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน วิตามินนี้ไม่สามารถสะสมในร่างกายได้จึงต้องรับจากอาหารหรืออาหารเสริมอย่างสม่ำเสมอ วิตามิน บี1 ทำงานโดยการช่วยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงาน นอกจากนี้ยังสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการทำงานของเซลล์อีกด้วย ประโยชน์ของ วิตามิน บี1 ที่มีต่อร่างกายคือ 1) วิตามิน บี1 มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นพลังงานที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ โดยมีสารสำคัญอย่างไทอามีนไพรอฟอสเฟต (Thiamine Pyrophosphate) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอต่อการทำงานในชีวิตประจำวัน 2) วิตามิน บี1 มีส่วนสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทที่มีประสิทธิภาพ Thiamine Hydrochloride ช่วยในการผลิตสารสื่อประสาทอย่างอะซิติลโคลีน (Acetylcholine) ที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม 3) Thiamine Hydrochloride ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารไทอามีนในวิตามินนี้ช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนของเลือด ทำให้ระบบหลอดเลือดแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 4) วิตามิน บี1 มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยในการสร้างกรดเกลือในกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของอาการท้องอืดและอาการท้องผูก 5) Thiamine Hydrochloride มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ โดยสารไทอามีนมีบทบาทในการผลิต RNA และ DNA ซึ่งสำคัญต่อกระบวนการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้เซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกายฟื้นฟูและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com
2. WebMD >> https://www.webmd.com
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนของเรามีสารสำคัญหลายชนิดที่อาจช่วยลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้ ตัวอย่างของสารสำคัญเหล่านี้ ได้แก่:
Turmeric Extract หรือ สารสกัดจากขมิ้น เป็นสารสกัดที่ได้มาจากเหง้าของขมิ้น (Turmeric) ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้ในเอเชียมาอย่างยาวนาน สารประกอบสำคัญใน Turmeric Extract คือ เคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง และ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆด้านด้วยกันคือ 1) Curcumin มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพมาก และอาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ลดอาการปวดและบวมที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังได้ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ นอกจากนี้ยังอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบที่เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายได้อีกด้วย 2) Curcumin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของความชราและการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย การบริโภค สารสกัดจากขมิ้น อาจช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ ทำให้เซลล์มีอายุยืนยาวและลดความเสี่ยงของโรคเสื่อมสภาพที่เกี่ยวข้องกับวัย 3) Curcumin ยังมีความสามารถในการช่วยเพิ่มระดับของ Brain-Derived Neurotrophic Factor (BDNF) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาทและป้องกันโรคที่เกี่ยวกับการเสื่อมของสมอง เช่น อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน 4) สารสกัดจากขมิ้นอาจช่วยปรับปรุงความไวของอินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน 5) Curcumin อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/top-10-evidence-based-health-benefits-of-turmeric
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/ss/slideshow-health-benefits-of-turmeric
3. PubMed >> https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/17569207/
Ginger Extract หรือ สารสกัดขิง สกัดมาจากรากขิงซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์แผนโบราณมาอย่างยาวนาน มีสารประกอบที่สำคัญอย่าง จินเจอรอล (Gingerol) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์หลักที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และ แอนตี้ออกซิแดนท์ จึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น บรรเทาอาการปวดข้อ เสริมระบบย่อยอาหาร และ บรรเทาอาการคลื่นไส้ ประโยชน์ต่างๆของ Ginger Extract ที่มีต่อร่างกายคือ 1) Gingerol ในขิงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่สามารถช่วยลดอาการปวดและการอักเสบในผู้ที่มีปัญหาข้ออักเสบหรือข้อเข่าเสื่อม ทำให้การเคลื่อนไหวสะดวกและสบายมากยิ่งขึ้น 2) Ginger Extract ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในระบบทางเดินอาหาร จึงช่วยบรรเทาอาการแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย และ ลดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ 3) บรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน - สาร Gingerol และ สารประกอบอื่นๆในขิงมีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการเมารถหรือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด 4) Ginger Extract มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อและอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ 5) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด - สาร Gingerol ในขิงช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยปรับปรุงความไวต่ออินซูลินซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับเบาหวาน
แหล่งข้อมูล:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/11-proven-health-benefits-of-ginger
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/ss/slideshow-health-benefits-ginger
Rosemary Extract คือ สารสกัดจากใบของพืชโรสแมรี่ ซึ่งมีสารสำคัญอยู่หลายชนิด เช่น กรดโรสมารินิก (Rosmarinic Acid), คาร์โนซอล (Carnosol), และ สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะในด้านการผ่อนคลาย ลดการอักเสบ และ ส่งเสริมการนอนหลับเป็นต้น ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของ Rosemary Extract ที่มีต่อร่างกายมีดังนี้ 1) ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสียหายของเซลล์ - สารสกัดโรสแมรี่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง กรดโรสมารินิก (Rosmarinic Acid) และสาร คาร์โนซอล (Carnosol) ที่ช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย การใช้สารสกัดนี้อาจช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังและความเสื่อมของร่างกายได้ 2) สารบางชนิดใน Rosemary Extract เช่น กรดโรสมารินิกอาจช่วยกระตุ้นระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการผ่อนคลาย จึงมีผลต่อการลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและลดความวิตกกังวล ทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลายมากขึ้น 3) ส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ - ด้วยคุณสมบัติในการผ่อนคลายของ Rosemary Extract ทำให้ช่วยในการลดความเครียดที่เป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ยังอาจช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบ จึงช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่ลึกและมีคุณภาพมากขึ้น 4) สารต้านอนุมูลอิสระใน Rosemary Extract อาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความสามารถในการต้านทานเชื้อโรคและการติดเชื้อได้ดีขึ้นอีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/rosemary-benefits
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-rosemary
Licorice Extract หรือ สารสกัดจากชะเอมเทศ ได้มาจากรากของพืชชะเอมเทศ (Glycyrrhiza Glabra) ซึ่งถูกใช้ในทางการแพทย์แผนโบราณมานานหลายศตวรรษ สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ เช่น Glycyrrhizin, Glabridin และ Licochalcone A ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงร่างกายและแก้ไขปัญหาสุขภาพในหลาย ๆ ด้านด้วยกันคือ 1) สาร Glycyrrhizin ในชะเอมเทศมีคุณสมบัติในการช่วยลดการอักเสบในกระเพาะอาหารและช่วยเพิ่มการผลิตเมือกเพื่อป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหาร ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอกและลดความเสี่ยงของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย 2) Licochalcone A และ Glycyrrhizin มีฤทธิ์ในการช่วยต้านการอักเสบและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคและลดอาการอักเสบในร่างกายได้ 3) สาร Glabridin เป็นสารสำคัญในชะเอมเทศที่ช่วยลดการสร้างเมลานิน (Melanin) ในผิวหนัง ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใสขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบของผิวที่เกิดจากแสงแดดได้อีกด้วย 4) สาร Glycyrrhizin ช่วยทำให้เสมหะในทางเดินหายใจหลุดออกง่ายขึ้นและอาจช่วยลดการระคายเคืองในลำคอได้ ทำให้ชะเอมเทศถูกใช้เป็นส่วนผสมในยาสมุนไพรสำหรับระบบทางเดินหายใจ 5) เสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด - สารต้านอนุมูลอิสระในชะเอมเทศช่วยลดการสะสมของไขมันในหลอดเลือด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Eucerin >> https://www.eucerin.co.th/about-skin/basic-skin-knowledge/licorice-extract
2. WebMD >> https://www.webmd.com/diet/health-benefits-licorice-root
3. MedThai >> https://medthai.com/ชะเอมเทศ/
Mulberry Extract หรือ สารสกัดจากมัลเบอร์รี่ ได้มาจากผลหรือใบของต้นหม่อน (Morus Alba) ซึ่งเป็นพืชที่มีการใช้ในทางการแพทย์แผนโบราณมาอย่างยาวนาน สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น แอนโทไซยานิน (Anthocyanin), รูติน (Rutin) และ 1-ดีออกซีโนจิริมายซิน (1-Deoxynojirimycin) ประโยชน์ของ Mulberry Extract ในรูปแบบอาหารเสริมมีดังนี้ 1) สาร 1-Deoxynojirimycin ในใบมัลเบอร์รี่มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต ทำให้การดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน 2) การบริโภคสารสกัดจากใบหม่อนช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ในเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากสาร 1-ดีออกซีโนจิริมายซิน ที่ช่วยยับยั้งการสังเคราะห์ไขมันในตับ ส่งผลให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด 3) สารแอนโทไซยานินและรูตินในมัลเบอร์รี่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ได้ 4) นอกจากนี้ สารต้านอนุมูลอิสระในมัลเบอร์รี่ยังอาจช่วยปกป้องเซลล์ประสาทจากความเสียหาย ส่งเสริมการทำงานของสมองและความจำ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมได้อีกด้วย 5) สารสกัดจากมัลเบอร์รี่มีคุณสมบัติยับยั้งการสร้างเมลานิน(Melanin) ที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดเลือนจุดด่างดำและความหมองคล้ำ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Pobpad >> https://www.pobpad.com
2. Thenaturalist >> https://www.thenaturalist.co.th/product/26033-40716/mulberryextract
Citrus Bioflavonoids Extract เป็นสารสกัดจากผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้ม มะนาว และ เกรปฟรุต สารสกัดนี้อุดมไปด้วยสารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการด้วยกันคือ 1) สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ใน Citrus Bioflavonoids Extract ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโดยการเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการต่อสู้กับเชื้อโรค 2) สารเฮสเพอริดิน (Hesperidin) และ รูติน (Rutin) ใน Citrus Bioflavonoids Extract มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยลดอาการอักเสบในร่างกายได้ 3) สารฟลาโวนอยด์อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด 4) สารต้านอนุมูลอิสระใน Citrus Bioflavonoids Extract อาจช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ 5) Citrus Bioflavonoids Extract ยังอาจช่วยเพิ่มการดูดซึมและการใช้ประโยชน์ของวิตามินซีในร่างกาย ทำให้วิตามินซีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Mindbodygreen >> https://www.mindbodygreen.com/articles/citrus-bioflavonoids
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/flavonoids
3. National Institutes of Health >> https://ods.od.nih.gov/factsheets/Flavonoids-HealthProfessional
4. PubMed Central >> https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5465813/
5. Journal of Nutritional Biochemistry >> https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0955286317300010
Zinc Amino Acid Chelate (20%) เป็นรูปแบบของสังกะสีที่ถูกจับคู่กับกรดอะมิโน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย การจับคู่กับกรดอะมิโนนี้ช่วยให้สังกะสีถูกดูดซึมได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสังกะสีในรูปแบบอื่นฟ ประโยชน์ของ Zinc Amino Acid Chelate ที่มีผลต่อร่างกายคือ 1) Zinc มีบทบาทสำคัญในการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อและเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายให้ดียิ่งขึ้น 2) ส่งเสริมการรักษาบาดแผลด้วยการสังเคราะห์โปรตีนและการแบ่งเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาบาดแผลและการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ 3) Zinc เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดในร่างกาย ซึ่งมีบทบาทในการย่อยอาหาร การสังเคราะห์โปรตีน และ การทำงานของระบบประสาท 4) Zinc มีบทบาทในการรักษาสุขภาพผิว ลดการอักเสบ และช่วยในการรักษาสิวได้ด้วย 5) นอกจากนี้ เมิ่อรับประทาน Zinc ร่วมกับ Magnesium อาจมีผลในการช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ มีการศึกษาพบว่าการเสริม Zinc และ Magnesium ร่วมกันจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับและลดการตื่นกลางดึกได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Healthline >> https://www.healthline.com/health/chelated-zinc
2. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/chelated-minerals
3. Healthline >> https://www.healthline.com/nutrition/zma
Dandelion Extract หรือ สารสกัดจากแดนดิไลออน พืชแดนดิไลออนได้รับความสนใจในวงการสุขภาพเนื่องจากมีประโยชน์หลากหลายต่อร่างกาย โดยรากของพืชชนิดนี้อุดมไปด้วยสารสำคัญที่ส่งเสริมสุขภาพในหลายด้านด้วยกันคือ 1) รากแดนดิไลออนมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งช่วยปกป้องตับจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ การบริโภคสารสกัดนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับและส่งเสริมการทำงานของตับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 2) สารประกอบในรากแดนดิไลออน เช่น ทาราซาสเตอรอล (Taraxasterol) มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ การบริโภคสารสกัดนี้อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ 3) รากแดนดิไลออนเป็นแหล่งของอินูลิน (Inulin) ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ การบริโภคสารสกัดนี้อาจช่วยปรับปรุงการย่อยอาหารและอาจช่วยลดปัญหาท้องผูกได้ 4) มีการศึกษาบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าสารประกอบในรากแดนดิไลออนอาจมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน 5) แม้ว่าจะมีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับการใช้สารสกัดจากรากแดนดิไลออนเพื่อส่งเสริมการนอนหลับ แต่บางแหล่งข้อมูลระบุว่าชาสมุนไพรที่ทำจากรากแดนดิไลออนอาจช่วยให้ผ่อนคลายและเตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Cleveland Clinic >> https://health.clevelandclinic.org/dandelion-tea-benefits
2. Liquid Insider >> https://liquidinsider.com/does-dandelion-tea-help-you-sleep/
หากคุณต้องการปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของร่างกาย การเลือกวิตามินบีคอมเพล็กซ์ที่รวมวิตามินบี1, บี6 และ บี12 ไว้ด้วยกันถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการรับประทานวิตามินบีแต่ละชนิดแยกกัน แม้ว่าวิตามินบีแต่ละชนิดจะมีประโยชน์เฉพาะตัว แต่เมื่อทานร่วมกันในสูตรเดียว วิตามินบีเหล่านี้จะทำงานร่วมกันและช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพได้มากกว่า
ทำไมต้องเลือกวิตามินบี1, บี6 และ บี12 สำหรับช่วงเวลากลางคืนแทนการเลือกใช้วิตามินบีชนิดอื่นๆ?
เมื่อพูดถึงการเลือกอาหารเสริมเพื่อช่วยเรื่องการปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพโดยรวมแล้วละก็ วิตามินบีคอมเพล็กซ์สูตรเฉพาะที่รวมวิตามินบี1, บี6 และ บี12 เข้าไว้ด้วยกันถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบริโภคในเวลากลางคืน โดยสูตร B-Complex นี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มคุณภาพการนอนหลับโดยไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นสมองโดยไม่จำเป็นที่อาจรบกวนการพักผ่อนของคุณได้
การทำงานร่วมกันของวิตามินบี1, บี6 และ บี12 ในสูตรกลางคืนนี้สร้างข้อได้เปรียบที่โดดเด่นชัดเจน เข่น วิตามินบี1 จะช่วยรักษาระดับพลังงานในร่างกายให้คงที่เพื่อป้องกันการตื่นกลางดึกที่เกิดจากการลดลงของระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนวิตามินบี6 ก็มีบทบาทในการควบคุมสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ เมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งสำคัญต่อการหลับและการคงการนอนหลับไว้ให้นานขึ้น และ วิตามินบี12 จะช่วยสนับสนุนการผลิตเมลาโทนิน (Melatonin) และช่วยเสริมสุขภาพของระบบประสาทให้สมดุลโดยส่งผลให้วงจรการนอนหลับ-ตื่นนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ในทางตรงกันข้าม วิตามินบีชนิดอื่น ถึงแม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราก็ตาม แต่วิตามินบีเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับการใช้ในเวลากลางคืนก็ได้ ตัวอย่างเช่น วิตามินบี3 (ไนอาซิน) และ วิตามินบี5 (กรดแพนโทธีนิก) มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มพลังงานซึ่งอาจทำให้เกิดอาการกระสับกระส่ายหากรับประทานก่อนนอน ส่วนวิตามินบี2 (ไรโบฟลาวิน) แม้จะสำคัญต่อการเผาผลาญพลังงานแต่ไม่ได้มีส่วนโดยตรงในการสนับสนุนกระบวนการนอนหลับ ดังนั้นการรวมวิตามินชนิดอื่นเหล่านี้ในสูตรกลางคืนอาจลดประสิทธิภาพของวิตามินบี1, บี6 และบี12 ในการช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายได้
ดังนั้น การเลือกใช้วิตามิน B-Complex ที่ผสานวิตามินบีทั้งสามชนิดนี้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนของเราจึงช่วยสนับสนุนการนอนหลับอย่างเต็มที่โดยไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นที่ไม่จำเป็นและช่วยให้คุณตื่นมาพร้อมความสดชื่นและพลังงานที่เต็มเปี่ยมในเช้าวันใหม่
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Neuro Launch >> https://neurolaunch.com/vitamin-b1-for-sleep/
2. Sleep Foundation >> https://www.sleepfoundation.org/sleep-aids/vitamins-for-sleep
การเลือกรสเบอร์รีรวมเป็นรสชาติหลักในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนของเราเป็นการเลือกที่สอดคล้องกันกับประสิทธิภาพของส่วนผสมสำคัญที่มีอยู่ในสูตร พร้อมกับการสะท้อนถึงคุณค่าจากธรรมชาติที่เชื่อมโยงกันกับรสชาติที่หอมละมุนและสีสันที่สดใสเพื่อประสบการณ์ในการดูแลสุขภาพโดยรวมของคุณ
สีม่วงของผลิตภัณฑ์สะท้อนถึงสุขภาพ ความสมดุล และ ความสงบ ซึ่งเป็นสีธรรมชาติของส่วนผสมอย่าง สารสกัดจากผลอะซาอิ เบอร์รี ผลโกจิเบอร์รี และ ผลมัลเบอร์รี ที่มีอยู่ในสูตร โดยที่ผลไม้เหล่านี้อุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติช่วยในการปรับปรุงคุณภาพการนอน ลดการอักเสบ และส่งเสริมการผ่อนคลาย ดังนั้นรสเบอร์รีรวมจึงเป็นตัวแทนของคุณสมบัติหลักของผลิตภัณฑ์ที่แสดงออกผ่านทางรสชาติและสีสันอย่างลงตัว
นอกจากนี้ ส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรกลางคืนนี้ยังมี สารสกัดเห็ดหลินจือ สารสกัดคาโมมายล์ และ PharmaGABA ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้จิตใจและร่างกายผ่อนคลายขณะนอนหลับ โดยรสเบอร์รีรวมจะช่วยเสริมประสิทธิภาพนี้ได้อย่างลงตัวเพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รีมีภาพลักษณ์ของความสดชื่นและความสบายใจ
สูตรนี้ยังรวมส่วนผสมเพื่อการดูแลผิวไว้อีกด้วย เช่น คอลลาเจน และ วิตามินซี โดยสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ตระกูลเบอร์รีนี้จะช่วยเสริมคุณสมบัติดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รีเป็นที่รู้จักกันในด้านการสนับสนุนสุขภาพผิวหนังและความเปล่งปลั่งกระจ่างใสของผิว รวมถึงการช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ดังนั้น รสเบอร์รีรวมจึงเป็นตัวเลือกที่ช่วยเชื่อมโยงรสชาติ กลิ่น และ สี เข้าไว้ด้วยกันกันกับประสิทธิภาพของสารสำคัญในสูตรได้อย่างลงตัวเพื่อช่วยให้คุณสัมผัสถึงความสมบูรณ์แบบในการดูแลตัวเองในช่วงเวลากลางคืนได้อย่างแท้จริง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
1. Dr. Will Cole >> https://drwillcole.com/functional-medicine/the-power-of-adaptogens-from-a-functional-medicine-expert
2. Springer >> https://link.springer.com/article/10.1007/s11101-021-09757-1
3. Wholeistic Living >> https://wholeisticliving.com/2023/06/02/adaptogenic-mushrooms/
เราเข้าใจดีว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อต้องการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ เลอ มิกเซ่ เลอ มอร์ เราให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของลูกค้าของเราทุกท่านเหนือสิ่งอื่นใด และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงภูมิใจมากที่จะยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางคืน ของเราได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด และได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยท่านสามารถตรวจสอบหมายเลข อย. ของเรา (12-1-05161-5-0155) บน Thai FDA Product Search Portal เพื่อความมั่นใจเพิ่มเติม
ผลิตภัณฑ์ของเราได้ผ่านการตรวจสอบและประเมินผลอย่างเข้มงวดโดย อย. เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การรับรองนี้ยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางคืน ที่ท่านกำลังพิจารณาอยู่นี้:
- ปลอดภัยต่อการบริโภค: ส่วนผสมทุกชนิดในสูตรได้รับการทดสอบและรับรองการใช้งานอย่างเหมาะสม
- ฉลากระบุอย่างถูกต้อง: ข้อมูลผลิตภัณฑ์ คุณค่าทางโภชนาการ และประโยชน์ต่อสุขภาพ ถูกแสดงไว้อย่างโปร่งใส เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังบริโภคอะไร
- ผลิตด้วยมาตรฐานคุณภาพ: กระบวนการผลิตปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ GMP (Good Manufacturing Practices) เพื่อรักษามาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยสูงสุด
การทดสอบความปลอดภัยเพิ่มเติมจากห้องปฏิบัติการอิสระ
เพื่อให้ท่านมั่นใจในความปลอดภัยและคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางวันนี้ เราได้จัดส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบเพิ่มเติมกับห้องปฏิบัติการอิสระที่ได้รับการรับรอง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิตโดยตรง การทดสอบเหล่านี้ครอบคลุมการตรวจสอบหลายด้านเช่น การตรวจสอบโลหะหนัก สารพิษ รวมถึงการปนเปื้อนทางจุลชีววิทยาอีกด้วย รายละเอียดผลการทดสอบที่สำคัญต่างๆมีดังนี้:
การทดสอบโลหะหนัก:
- สารหนูทั้งหมด: ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 2 mg/kg)
- สารตะกั่ว: ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 1 mg/kg)
- สารปรอท: ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 0.5 mg/kg)
- แคดเมียม: ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 0.3 mg/kg)
การทดสอบอะฟลาทอกซิน:
- อะฟลาทอกซินรวม (B1, B2, G1, G2): ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน ≤ 20 µg/kg)
การทดสอบจุลินทรีย์:
- อีโคไล (Escherichia coli): < 3 MPN/g (ในมาตรฐาน: ตรวจไม่พบ)
- สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus): ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน: 0.1 กรัม)
- ซัลโมเนลลา (Salmonella spp.): ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน: 25 กรัม)
- คลอสตริเดียม (Clostridium spp.): ตรวจไม่พบ (ในมาตรฐาน: 0.1 กรัม)
ผลการทดสอบเหล่านี้ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของเราเป็นไปตามหรือสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัยทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยและเหมาะสำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวัน
ทำไมต้องเลือก Le Mixé Le More?
นอกจากได้รับการรับรองจาก อย. และผ่านการทดสอบจากห้องปฏิบัติการอิสระแล้ว ผลิตภัณฑ์ของเรายังโดดเด่นด้วยคุณภาพระดับพรีเมียม และสูตรที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการสุขภาพของท่านในแต่ละวัน คุณสมบัติเด่นที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราแตกต่าง ได้แก่:
1. วัตถุดิบจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้: วัตถุดิบทุกชนิดถูกคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันจากซัพพลายเออร์ที่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและคุณภาพสูง
2. ได้รับการรับรองที่เชื่อถือได้: ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการรับรองด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ทุกคน
สุขภาพของท่านคือความมุ่งมั่นของเรา
เมื่อท่านเลือกดื่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สูตรกลางคืน ท่านกำลังเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรังสรรค์ด้วยความใส่ใจอย่างพิถีพิถันและความมุ่งมั่นในความปลอดภัย ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมือใหม่หรือมีประสบการณ์มานานแล้วก็ตาม ท่านสามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพที่ช่วยตอบโจทย์สุขภาพหลากหลายด้าน แต่ยังปลอดภัยสำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
เราพร้อมมอบโซลูชันเพื่อสุขภาพที่ทุกท่านไว้วางใจและเลือกซื้อโดยไม่ต้องลังเล หากท่านมีข้อกังวลหรือมีคำถามเพิ่มเติม ทีมให้บริการลูกค้าของเรายินดีให้ความช่วยเหลือเสมอ
ลงทุนในสุขภาพของคุณอย่างมั่นใจให้เลือก Le Mixé Le More!
เกี่ยวกับการเป็นสมาชิก
[เริ่มสะสมคะแนน LeMore Rewards ของคุณได้แล้ววันนี้ แต่สิทธิประโยชน์สมาชิกด้านล่างจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2025 เป็นต้นไป]
ทำไมต้องสมัครเป็นสมาชิก?
1. รับส่วนลดพิเศษเฉพาะสมาชิก: สมาชิกทุกคนจะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาส่งเสริมการขายในทุกการซื้อ ทำให้การช้อปปิ้งของคุณคุ้มค่ายิ่งขึ้น
2. ฉลองวันเกิดของคุณอย่างมีสไตล์: รับบัตรกำนัลส่วนลดวันเกิดและการ์ดอวยพรอิเล็กทรอนิกส์สุดพิเศษเพื่อให้วันของคุณน่าจดจำยิ่งขึ้น สมาชิกในระดับที่สูงขึ้นจะได้รับบัตรกำนัลมูลค่ามากขึ้น!
3. สิทธิพิเศษค่าจัดส่งฟรี: ยกระดับสถานะสมาชิกของคุณเพื่อประหยัดค่าจัดส่ง ด้วยคูปองจัดส่งฟรีที่รวมอยู่ในสิทธิประโยชน์ของสมาชิก
4. ของขวัญพรีเมียมและเซอร์ไพรส์พิเศษ: สำหรับสมาชิก Platinum Crown และ Blue Diamond Infinite คุณจะได้รับของขวัญพรีเมียมตามฤดูกาลและเซอร์ไพรส์พิเศษ รวมถึงของขวัญวันเกิดสำหรับสมาชิกระดับสูงสุด
ค้นพบสิทธิประโยชน์สุดพิเศษกับ LeMore Reward Points!
เข้าร่วมโปรแกรมสมาชิกของเราไม่เพียงช่วยเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งของคุณ แต่ยังช่วยให้คุณสะสมคะแนน LeMore Reward Points ทุกครั้งที่ช้อปกับเรา ยิ่งคุณใช้จ่ายมาก ยิ่งได้รับรางวัลมาก!
สำรวจสามระดับสมาชิกสุดพิเศษด้านล่างและดูว่าคุณจะปลดล็อกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมได้อย่างไรเมื่อไต่ระดับสูงขึ้น
ระดับสมาชิกและสิทธิประโยชน์* | Gold Elite | Platinum Crown | Blue Diamond Infinite |
ยอดการใช้จ่าย | 1 - 50,000 บาท/ปี | 50,001 - 100,000 บาท/ปี | +100,000 บาท/ปี |
ส่วนลดสำหรับสมาชิก | 10% | 10% | 10% |
บัตรกำนัลส่วนลดวันเกิด | 100 บาท | 200 บาท | 300 บาท |
การด์อวยพรวันเกิดดิจิทัล | ได้ | ได้ | ได้ |
บัตรส่วนลดค่าจัดส่งสินค้า | ไม่ได้ | 3 คูปอง | 5 คูปอง |
ของขวัญพิเศษตามเทศกาล | ไม่ได้ | ได้ | ได้ |
ของขวัญวันเกิดสุดเซอร์ไพรส์ | ไม่ได้ | ไม่ได้ | ได้ |
วิธีสะสมคะแนน LeMore Reward Points?
ยิ่งช้อปมาก ยิ่งได้คะแนนมาก: สะสมคะแนน LeMore Reward Points ทุกครั้งที่ซื้อสินค้าเพื่อปลดล็อกสถานะสมาชิกระดับสูงขึ้นและสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้น
สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิกผู้ภักดี: ใช้คะแนน LeMore Reward Points ของคุณแลกรับข้อเสนอพิเศษและเพลิดเพลินไปกับการประหยัดมากยิ่งขึ้น
*ทางบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม หรือยกเลิกเงื่อนไขตามความเหมาะสมโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกท่าน
ระดับสมาชิกของทุกคนจะมีการอัพเดทปรับเปลี่ยนทุกๆ 365 วันของแต่ละคะแนนที่มีการสะสมยอดเข้ามา ซึ่งหมายความว่า ถึงแม้ว่าตัวคะแนนที่ท่านสะสมไว้จะไม่มีวันหมดอายุก็ตาม แต่จำนวนคะแนนที่จะมีผลต่อการคำนวนเพื่อรักษาระดับของสมาชิกของท่านไว้นั้นจะมีอายุแค่ 365 วันในการคงสถานะระดับสมาชิกจากวันที่ได้รับคะแนนนั้นๆเข้ามาในระบบนั่นเอง
คะแนนที่ท่านสะสมไว้จะไม่มีวันหมดอายุ ท่านสามารถใช้คะแนนที่สะสมไว้เพื่อแลกซื้อ แลกรับ หรือ แลกเป็นส่วนลดเมื่อไหร่ก็ได้ที่ท่านต้องการตราบเท่าที่ท่านยังคงสถานะการเป็นสมาชิกอยู่กับเรา แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ท่านลบบัญชีสมาชิกของท่านออกจากระบบแล้ว ระบบจะทำการลบคะแนนที่สะสมไว้ทั้งหมดของท่านออกจากระบบอัตโนมัติ โดยคะแนนสะสมที่ถูกลบทิ้งไปแล้ว จะไม่สามารถเรียกคืนกลับมาใช้ได้อีกถึงแม้ว่าท่านจะกลับมาสมัครสมาชิกใหม่อีกครั้งในภายหลังภายใต้ชื่อบัญชีเดิมของท่านก็ตาม ดังนั้น เราขอแนะนำให้ท่านทบทวนให้มั่นใจก่อนการลบบัญชี
ช่องทางการสั่งซื้อสินค้า
สินค้าของเรามีจำหน่ายเฉพาะผ่านช่องทางที่ได้รับอนุญาตดังต่อไปนี้:
1. ผ่านเว็บไซต์ทางการของเราที่: https://www.lemixelemore.com
2. ผ่านร้านค้าของเราโดยตรงที่: ร้าน Le Mixé Le More ตั้งอยู่ที่: 3037/9 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260 ประเทศไทย
เพื่อความมั่นใจและเพื่อป้องกันลูกค้าจากการถูกหลอกลวง เราขอแจ้งว่าสินค้าของเราสามารถซื้อได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์ทางการและที่ร้านค้าปลีกตามที่อยู่ข้างต้นเท่านั้น นโยบายนี้จัดทำขึ้นเพื่อป้องกันสินค้าปลอมที่อาจถูกจำหน่ายโดยผู้ไม่หวังดีผ่านช่องทางอื่นๆ
ช่องทางการชำระเงิน
เราให้บริการช่องทางชำระเงินที่หลากหลายเพื่อความสะดวกของคุณ ดังนี้:
1. บัตรเครดิตและเดบิต: Visa, Mastercard, JCB, AmericanExpress, UnionPay
2. QR Payment: พร้อมเพย์
3. กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์: True Money, PayPal, WeChat, AliPay
4. บริการธนาคารออนไลน์ / แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ:
- ธนาคารไทยพาณิชย์
- ธนาคารกสิกรไทย
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ธนาคารกรุงเทพ
- ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb)
เลือกช่องทางที่คุณสะดวกที่สุดในขั้นตอนชำระเงินได้เลย!
ขอบคุณที่ให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ของเรา แต่เพื่อความปลอดภัยและเพื่อประโยชน์สูงสุดในการให้บริการลูกค้าทุกท่าน เราใช้ระบบการชำระเงินแบบไร้เงินสด หรือ Cashless Payment System เป็นระบบหลักในการชำระเงินเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า เราไม่สามารถรับชำระด้วยเงินสดหรือด้วยการชำระแบบเก็บเงินปลายทางได้ในขณะนี้
เราเข้าใจดีว่าลูกค้าบางท่านอาจไม่สะดวกในการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล และเราต้องขออภัยเป็นอย่างสูงหากวิธีการชำระเงิน ณ ปัจจุบัน อาจทำให้เกิดความไม่สะดวกกับท่าน
เราขอขอบพระคุณอีกครั้งที่ท่านเข้าใจ ให้ความไว้วางใจ และสนับสนุนเราเสมอมา
การให้บริการจัดส่งสินค้า
นโยบายการจัดส่งสินค้า
- เมื่อมีการชำระเงินซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ เราจะเริ่มนับระยะเวลาการจัดส่งสินค้าตามที่อยู่จัดส่งที่ท่านระบุไว้ หลังจากที่ท่านได้รับอีเมลยืนยันการสั่งซื้อสินค้าที่มีการชำระเงินเต็มจำนวนสำเร็จแล้วเท่านั้น
- การจัดส่งสินค้าปกติจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-10 วันทำการ (ไม่นับรวมวันเสาร์-อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และ วันหยุดราชการซึ่งระยะเวลาการจัดส่งอาจล่าช้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาล) โดยขึ้นอยู่กับพื้นที่จัดส่งสินค้า หรือสินค้าบางรายการอาจต้องใช้ระยะเวลาในการรอรับจากผู้ผลิตหรือบริษัทพันธมิตรของบริษัทฯ หรือ จากตัวแทนจัดจำหน่ายอื่น ซึ่งอาจส่งผลให้มีการจัดส่งสินค้าเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ สำหรับการจัดส่งสินค้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี และ นราธิวาส) ระยะเวลาในการจัดส่งจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆด้วย โดยบริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการจัดส่งสินค้าเกินระยะเวลาที่กำหนด หากเกิดเหตุสุดวิสัยดังกล่าว
- เนื่องจากนโยบายการจัดส่งสินค้าแต่ละรายการมีความแตกต่างกัน ท่านสามารถตรวจสอบนโยบายการจัดส่งสินค้าก่อนทำการซื้อสินค้าได้ โดยอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้ารายละเอียดของสินค้าแต่ละรายการ
- การจัดส่งสินค้าจะดำเนินการตามลำดับเลขที่ใบสั่งซื้อ โดยรายการสินค้าที่สั่งซื้อจากเลขที่สั่งซื้อเดียวกันอาจมีนโยบายการจัดส่งและระยะเวลาการจัดส่งที่แตกต่างกันได้ ซึ่งทำให้ท่านอาจได้รับสินค้าไม่พร้อมกัน
- ท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงที่อยู่จัดส่งสินค้าได้หลังจากการส่งซื้อสินค้าสำเร็จแล้ว
- บริษัทฯขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
หากท่านมีคำถามเพิ่มเติมโปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อทีมบริการลูกค้าของเราได้ที่ customer@lemixelemore.com
ที่ Le Mixé Le More เรามุ่งมั่นที่จะทำให้สินค้าที่คุณสั่งซื้อถึงมือคุณอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด ในการดำเนินการนี้ เราเลือกใช้บริการของ ไปรษณีย์ไทย ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งที่น่าเชื่อถือเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เรายังมีความยืดหยุ่นในการเลือกบริษัทขนส่งอื่นๆได้เมื่อจำเป็น เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในสถานการณ์ต่างๆ หรือ การให้บริการที่อาจมีข้อจำกัดหรือมีข้อได้เปรียบในเขตพื้นที่ครอบคลุมบ้างในบางพื้นที่
ไม่ว่าบริษัทขนส่งใดที่เราเลือกใช้ โปรดมั่นใจได้ว่าเราจะจัดส่งสินค้าทุกชิ้นผ่านบริการ ส่งพัสดุแบบลงทะเบียน ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามสถานะการจัดส่งได้ อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหายหรือพลาดจากการจัดส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราขอขอบคุณความไว้วางใจที่ท่านมีให้กับเรา และเรามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งและการจัดส่งที่ราบรื่นที่สุดให้กับท่าน หากท่านมีคำถามหรือข้อกังวลใดๆเกี่ยวกับการจัดส่ง โปรดติดต่อทีมให้บริการลูกค้าของเราที่ customer@lemixelemore.com
หากพัสดุของท่านสูญหายหรือระยะเวลาการจัดส่งล่าช้ากว่า2-10 วันทำการ โปรดอย่ากังวล คุณสามารถส่งอีเมลมาที่ customer@lemixelemore.com พร้อมระบุข้อมูลดังต่อไปนี้:
1. ระบุปัญหาที่คุณพบอย่างชัดเจน (เช่น พัสดุสูญหายหรือการจัดส่งล่าช้า)
2. แจ้ง หมายเลขคำสั่งซื้อ (Order Number) เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง (หมายเลขคำสั่งซื้อสามารถดูได้จากอีเมลยืนยันที่คุณได้รับหลังการสั่งซื้อ) ทั้งนี้ หากคุณไม่สามารถหา หมายเลขคำสั่งซื้อได้ โปรดอย่ากังวล เพียงแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมกับเราดังนี้:
- วันที่และเวลาที่ท่านทำการสั่งซื้อ
- ชื่อที่ท่านลงทะเบียนสมัครสมาชิกไว้
- อีเมลของท่าน
- เบอร์โทรศัพท์ของท่าน
ทีมให้บริการลูกค้าของเราจะตรวจสอบข้อมูลของคุณอย่างละเอียดและทางเจ้าหน้าที่อาจมีการติดต่อท่านเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาให้ท่านโดยเร็วที่สุด
ความพึงพอใจของท่านคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรา และเราพร้อมให้ความช่วยเหลือท่านในทุกขั้นตอนเสมอ
คำถามทั่วไป
คุณสามารถส่งความคิดเห็นของคุณ หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางผ่านทางอีเมลที่ customer@lemixelemore.com. ทั้งนี้ ในกรณีเร่งด่วน ท่านสามารถติดต่อเราโดยตรงได้ที่ร้านค้าของเราเพื่อขอรับความช่วยเหลือหรือสอบถามคำถามเพิ่มเติม
ที่ตั้งร้านค้า: 3037/9 ถนน สุขุมวิท แขวง บางจาก เขต พระโขนง กรุงเทพ 10260 ประเทศไทย
เรายินดีรับฟังและจะรีบตอบกลับโดยเร็วที่สุด!